Toyota Sport Rider ยุคแรก 1998-2004

2003 Toyota Sport Rider 3.0 G 4WD A/T
ในช่วงปี 1998-2004 รถยนต์ปิกอัพแบบเอนกประสงค์ยังเป็นที่รู้จักกันไม่มากนัก ส่วนใหญ่ปิกอัพจากค่ายบริษัทแม่จะถูกบริษัทผู้รับดัดแปลงอย่าง ไทยรุ่ง เป็นผู้จัดการแปลงโฉมนำมาจำหน่ายตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ แต่พอเจ้าโตโยต้าสปอร์ตไรเดอร์ออกมาอวดโฉมแรกในปี 1998 แล้ว อาการฮือฮาและความนิยมเจ้า PPV ก็มาขึ้น จนกล่าวได้ว่า รุ่นแรกของความนิยม เจ้าฟอร์จูนเนอร์ ในปัจจุบันก็มีรากฐานมาจาก Sport Rider นี่แหละครับ
สปอร์ตไรเดอร์มีการแบ่งรุ่นมากมาย ในยุคแรกช่วงปี 98-02 นั้น เป็นเครื่อง 5L แบบขับสองล้อ และ 5L-E แบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ทั้งสองตัวมาแบบเครื่องยนต์ขนาด 2986 cc แรงม้าขำในตัวขับสี่ประมาณ 105 แรงม้า (PS)จนปลายยุคแรก ปรับเครื่องยนต์มาเป็นตระกูล D4D ในรหัส 1KDและพอมาถึงช่วงปี 2002 เจ้าสปอร์ตไรเดอร์มีการปรับโฉมใหม่ ในส่วนกันชนที่ดูดันขึ้น แลดูภูมิฐานมากขึ้นและปรับไฟหน้า ไฟท้ายใหม่หมด ที่สำคัญเอาเครื่องยนต์1KD-FTV I4 DOHC126 แรงม้ามาใช้งาน แถมมีบล็อก 2.5 L (2,494 cc) รหัส 2KD-FTV I4 DOHC102 แรงม้ามาให้ใช้ในตัวขับสองล้ออีกด้วย
มาถึง ณ ตอนนี้แม้อายุอานามของเจ้า Toyota Sport Rider จะนานมากแล้วก็ตาม แต่ด้วยรูปลักษณ์และรูปทรงและลักษณะการใช้งานที่เอนกประสงค์ ความหรูหราทันสมัย ปลอดภัย ของตัวถังอันแข็งแกร่ง เครื่องยนต์แรงบิดสูง อุปกรณ์ครบครันที่มีทั้ง กระจกไฟฟ้า กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า ถุงลม abs มาให้พร้อม ทำให้ Sport Rider ยังคงมีคนต้องการอยู่ สำหรับราคาค่าตัวในเครื่อง 5L เวอร์ชั่นแรกนั้น ไม่แพงเท่าไหร่เมื่อเทียบกับตัวรถ ที่ประมาณ สองแสนกว่า ส่วนตัวไมเนอร์เชนจ์หลังปี 2002 นั้น บล็อก D4D ขับสี่มีเห็นในสามแสนต้นๆจนถึงสามแสนปลายตามสภาพ
>>> ดูรถ โตโยต้ามือสอง รุ่นอื่นๆ ได้ที่ตลาดรถ Chobrod.com
รีวิว Toyota Sport Rider
ภายนอก Toyota Sport Rider
ภายนอก Toyota Sport Rider 2003
ภายนอก หน้าตาดูดีและทันสมัย ด้วยรูปทรงของรถที่สูงใหญ่ กระจังหน้าคล้ายฟันหนูแบบสี่ช่องสีเดียวกับตัวรถ พร้อมช่องระบบอากาศแบบแนวตั้ง ไฟหน้าแบบมัลทิรีเฟลคเตอร์ แยกส่วนกับไฟหรี่และไฟเลี้ยวให้แสงสว่างชัดเจน กันชนหน้าออกแบบหรูหราพร้อมไฟตัดหมอก พร้อมกระจกมองมุมช่วยให้จอดรถในที่แคบได้สะดวกยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังติดตั้งเสาอากาศไฟฟ้าขึ้น/ลงอัตโนมัติ ข้างตัวรถติดตั้งบันไดอลูมิเนียมขึ้น/ลงสะดวก ด้านข้างเป็นสีทูโทนพร้อมโป่งล้อขนาดใหญ่ ดูทันสมัยแข็งแกร่งและบึกบึน ส่วนด้านหลัง ไฟท้ายเป็นแบบไฟเบรค ไฟถอย และไฟเลี้ยวแบบ 3 ช่องวงรีซ้อนอยู่ในโคมเดียวกัน นอกจากนี้ด้านบนยังติดตั้งสปอยเลอร์พร้อมช่องไฟเบรคดวงที่ 3
ภายใน Toyota Sport Rider

ภายในของ รถ สปอร์ท ไรเดอร์ 2003
ภายในของ รถ สปอร์ท ไรเดอร์ เน้นความกว้างขวาง และโอ่อ่า เบาะนั่งและภายในหุ้มด้วยหนังพร้อมที่นั่งแถวที่สาม นอกจากนี้ยังให้ความเย็นสบายได้อย่างทั่วถึงด้วยระบบแอร์แยกส่วนหน้า/หลังพวงมาลัยเพาเวอร์แบบสี่ก้านหุ้มหนังสีดำ แผงคอนโซลและสวิทช์ ออกแบบให้ใช้งานได้ง่ายมาตรวัดใช้พื้นสีขาวตัวหนังสือแดง มีกล่องคอนโซลกลางขนาดใหญ่ใช้เป็นที่พักแขนและสามารถเก็บของได้ ส่วนเครื่องเสียงเป็นแบบ 2 DIN เล่นได้ทั้งวิทยุ/เทป และซีดีแผ่นเดียวพร้อมลำโพงหน้า/หลัง
เครื่องยนต์ Toyota Sport Rider
เครื่องยนต์ Toyota Sport Rider
สปอร์ท ไรเดอร์ ใช้เครื่องยนต์รหัส 1KZ-TE ขนาด 3,000 ซีซี ดีเซลเทอร์โบ จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดแบบอีเอฟไอ พร้อมด้วย บาลานศ์ ชาฟท์ หรือเพลาสมดุลคู่ ที่ให้เครื่องยนต์เดินเรียบ ให้กำลังสูงสุด 116 แรงม้า ที่ 3,600 รตน. แรงบิดสูงสุด 32.1 กก.-ม.
ระบบรองรับ Toyota Sport Rider
ระบบรองรับ ด้านหน้าเป็นแบบอิสระ ปีกนกคู่ และทอร์ชันบาร์ พร้อมเหล็กกันโคลง และระบบตัดต่อน้ำมันอัตโนมัติ ด้านหลังเป็นแหนบแผ่นซ้อนเหนือเพลา และชอคอับทรงกระบอกติดตั้งทแยงมุมกัน พร้อมเฟืองท้ายแบบลิมิเทด สลิพ ส่วนเบรคด้านหน้าเป็นแบบจาน ด้านหลังแบบดุม และยังมีวาล์วปรับแรงดันน้ำมันเบรค ซูเพอร์แอลเอสพีวี พร้อมระบบแอลทีเอส
จุดเด่น Toyota Sport Rider
โตโยต้า สปอร์ท ไรเดอร์ เครื่องยนต์ 1 KZ-TE รุ่นปี 2002 เป็นรุ่นเกียร์ธรรมดา ออกมาพร้อมๆ กับเครื่องยนต์ รหัส 2 KD-FTV แบบ D-4D คอมมอนเรล ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของความประหยัด แต่ในรุ่นเครื่องยนต์ 1KZ-TE เป็นรุ่นที่ออกมาเอาใจลูกค้าที่ต้องการเครื่องยนต์แรง ดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก ซึ่งทางบริษัทผู้ผลิตได้นำมาติดตั้งในรถเอสยูวีหรู อย่าง โตโยตา แลนด์ ครูเซอร์ ปราโด รถตู้เอมพีวี อย่าง กรันวีอา และไฮเอศ ส่วนเมืองไทย ก็มีทั้งรถเอสยูวีอย่าง สปอร์ท ไรเดอร์ รถพิคอัพ โตโยตา ไทเกอร์ ขับเคลื่อนสี่ล้อ
เมื่อเทียบกับรุ่นเครื่องยนต์ D-4D คอมมอนเรล จะเป็นรองในเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันแต่ก็ได้เปรียบในเรื่องของกำลังเครื่องยนต์ แรงม้าและแรงบิด นอกจากนี้ยังมีข้อดีในเรื่องของการดูแลรักษาที่ไม่จุกจิก เพราะมีระบบไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้องน้อย ถ้าเทียบกับคู่แข่ง เครื่องยนต์รุ่นนี้มีชื่อเสียงโดดเด่นมานาน ไม่ค่อยมีปัญหาจุกจิกให้เห็น นอกจากระบบระบายความร้อนที่ต้องคอยดูแลสม่ำเสมอ เพราะฝาสูบเป็นอลูมิเนียมค่อนข้างเปราะบางและโก่งได้ง่าย หากเจอความร้อนสูง แต่ถ้าคอยตรวจเชคดูน้ำในหม้อน้ำ พัดลมฟรีปั๊ม หรือท่อน้ำต่างๆ ที่เป็นยางซึ่งอาจจะหมดอายุได้ หรือถ้าจะให้สบายใจซื้อรถมือสองมาใหม่ๆ ก็นำรถเข้าตรวจเชคที่ศูนย์บริการ นอกจากนี้ยังสามารถนำรถเข้าตรวจเชคได้สม่ำเสมอ
ส่วนระบบรองรับ ต้องปรับตัวกับอาการโยนและโคลงของรถด้วย ถ้าปรับเข้ากันได้จนเคยชินคงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าอยากขับให้สบายขึ้นคงต้องมองหาชอคอับ แหนบ และทอร์ชันบาร์ดีๆ ซึ่งเปลี่ยนแล้ว อาการเหล่านี้น่าจะหายไป เผลอๆ เซทระบบรองรับดีๆ ทำให้นั่งนุ่มขับสบายและยึดเกาะถนนไม่แพ้รถเก๋ง ซึ่งต้องเลือกซื้อหากันดู หรือไปปรึกษาร้านตกแต่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อโดยเฉพาะ เขาจะมีประสบการณ์ในด้านนี้ดี รู้ว่าเซทช่วงล่างชุดไหนที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
ในตลาดรถมือสองตอนนี้ค่อนข้างหายาก เพราะส่วนใหญ่ที่ใช้อยู่ยังติดใจกับกำลังเครื่องยนต์ และอัตราเร่งของรถรุ่นนี้ หน้าตาดูดีทันสมัย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ ภายในโอ่อ่านั่งสบายแต่ต้องไม่ลืมตรวจเชคสภาพของรถดูให้ดีว่าเคยลุยหนักมามาก/น้อยแค่ไหน ก้มดูใต้ท้องรถว่ามีลอยครูดหรือบุบสลายมากน้อยแค่ไหน ถ้าล้างโคลนหรือดินออกหมดแล้วร่องรอยบุบสลายยังไงๆ ก็พอมองเห็น สังเกตดูปีกนกล่าง แครงค์น้ำมัน เฟืองเกียร์ เฟืองท้าย และแชสซีส์ให้ละเอียด ส่วนบอดีก็ไม่ควรมองข้าม เชคดูรอยอาร์คเดิมๆ จากโรงงานให้ครบ เดี๋ยวนี้นิยมเปลี่ยนทั้งชิ้น ดูยากขึ้นต้องสังเกตหัวนอทให้ดี
เครื่องยนต์ต้องเดินเรียบไม่มีควันดำ หรือมีคราบน้ำมันเลอะภายในห้องเครื่อง ถ้าผ่านการล้างห้องเครื่องมาแล้ว คงจะต้องลองขับดูและใช้เวลาเชคให้นานจนแน่ใจเสียก่อน
สำหรับรุ่นนี้ราคาซื้อขายหน้าเทนท์ระหว่าง 800,000-900,000 บาท ขึ้นอยู่กับสภาพของรถ การใช้งาน และอุปกรณ์ตกแต่ง
หากคุณกำลังจะซื้อรถ Toyota Sport Rider มือสองสภาพดีราคาถูก
สามารถเข้าดูดูที่ Chobrod.com – ตลาดรถให้ข้อมูลที่ดีที่สุดสำหรับการซื้อขายรถยนต์ในไทยแบ่งปันประสบการณ์การซื้อ Toyota Sport Rider
ด้วยราคาที่ดีที่สุดและถูกที่สุดพร้อมข้อมูลเสนอราคาที่ครบถ้วน