เมื่อคอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องเมื่อไร การเจาะระบบก็ตามมาเมื่อนั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นเป้าหมายของเหล่าแฮกเกอร์หรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็โชคดี แต่ถ้าใช่แค่เพียงเราคงทำอะไรได้ยาก แต่อย่างน้อยการเจาะระบบรถยนต์เข้าไปควบคุมระบบต่างๆก็ทำได้จริง และยิ่งรถยนต์สมาร์ทเท่าไร ก็มีโอกาสที่จะถูกแฮกได้ง่ายขึ้น
คุณมีตู้จดหมายหรือกล่องรับจดหมายอยู่หน้าบ้านคุณ มีคนที่คุณแอบชอบอยู่ส่งจดหมายมาหาและมันจะมาวางลงที่กล่องๆนี้ ในโลกนี้มีแค่คุณเท่านั้นที่ถือกุญแจในการเปิดตู้จดหมาย ดังนั้นจะมีแค่คุณคนเดียวที่ได้รับข้อความเมื่อใช้กุญแจในการไขตู้จดหมายนั้น แต่แล้ววันดีคืนดีก็มีเพื่อนของคุณอยากรู้ว่าใครกันส่งจดหมายมาหาคุณและเนื้อหาของจดหมายนั้นคืออะไร เขามีวิธีการอะไรบ้างที่จะเปิดดูข้อความนั้น ง่ายๆเลยก็คือ ขโมยกุญแจคุณแล้วก็เอาไปไขตู้จดหมาย หรืออีกวิธีก็คือก่อนที่บุรุษไปรษณีย์จะวางจดหมายลงกล่อง เพื่อนคุณก็ขอรับไว้ก่อนแล้วจะวางให้หรือไม่ก็ขโมยเอาดื้อๆจากบุรุษไปรษณีย์โดยไม่ให้รู้ เหล่านี้ทั้งหมดเป็นวิธีการขโมยข้อมูลอย่างหนึ่ง ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่แต่มาในรูปแบบ “อินเตอร์เน็ต” ถ้าเพื่อนคุณขโมยกุญแจตู้จดหมายคุณไปได้ก็เหมือนกับเขารู้ Password ต่างๆของคุณ ถ้าเขาขโมยจดหมายจากบุรุษไปรษณีย์ได้ก็คือเขาแฮกเข้าระบบความปลอดภัยของคุณได้โดยที่กุญแจหรือ Password ก็ยังอยู่กับคุณแท้ๆ และการเจาะระบบต่างๆเข้าไปเอาข้อมูลความลับออกมาแบบนี้เองที่เรียกว่า “แฮก” คนที่ทำสิ่งนี้ก็เรียกว่า “แฮกเกอร์”
กล่องจดหมายอาจจะป้องกันด้วยกุญแจ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์(Email)ป้องกันด้วยPassword
เรื่องระบบความปลอดภัยทางอินเตอร์เน็ตในทุกวันนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ระบบคอมพิวเตอร์ตามบ้านหรือสำนักงานแล้วแต่มันมาถึงในรถยนต์แล้วด้วย โดยเฉพาะรถยนต์ที่เป็น Connected Car ที่เชื่อมต่อรถเข้ากับอินเตอร์เน็ตยิ่งทำให้การถูกรุกรานจากแฮกเกอร์ง่ายขึ้น ส่วนรถที่ยังไม่ใช่ Connected Car ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยเพราะระบบต่างๆในรถยนต์ก็เชื่อมต่อกันผ่านเครือข่ายๆหนึ่งในรถยนต์ที่เรียกว่า CAN (Controller Area Network)
ระบบ CAN (Controller Area Network) คือระบบสื่อสารในรถยนต์จากการควบคุมของ Unit ต่างๆ
ดูเพิ่มเติม
>> Technology หลายอย่างในรถยนต์เก่ากว่าที่คุณคิด
>> Apple อัพเดท feature ใหม่สำหรับผู้ใช้งานรถยนต์ใน IOS11
แฮกเกอร์เจาะระบบคอมพิวเตอร์รถยนต์ได้ใครผิด
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดยากและก็เป็นที่ถกเถียงกันอยู่เพราะจะบอกว่าที่แฮกเกอร์สามารถแฮกเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ได้เป็นความผิดของค่ายรถยนต์โดยตรง ก็มีคนพูดอีกว่า ถ้าเป็นสินค้าอื่นเช่น บ้าน บริษัทสร้างบ้านขึ้นมาแล้ว สร้างรั้ว สร้างประตูที่มีกลอนประตูแน่นหนา แต่ก็ยังมีขโมยงัดเข้ามาในบ้านได้ แบบนี้จะเรียกว่าบริษัทสร้างบ้านผิดไหม ก็คงไม่ใช่ แต่บริษัทสร้างบ้านก็ได้ตระเตรียมระบบความปลอดภัยให้ในระดับหนึ่งแล้ว เช่นเดียวกับสินค้าประเภทรถยนต์ที่มีการเข้ารหัสของข้อมูลที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในบางส่วนแล้วด้วย แต่คงไม่สามารถป้องกันการเจาะระบบได้ทั้งหมด
ยิ่งรถยนต์ล้ำหน้ามากเท่าไรโอกาสโดนแฮกก็ง่ายขึ้นเช่นรถ Connected Car
รถที่เราใช้ทุกวันนี้โดนแฮกได้ไหม
ตอบได้เลยว่า “ได้” ตราบใดที่รถยนต์เราใช้ระบบการสื่อสารที่เรียกว่า CAN ที่เชื่อมต่อระบบต่างๆไว้ในรถเพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมจาก ECU และก็ใช้กันมานานแล้วตั้งแต่ช่วง 1980 ไม่ว่าจะเป็นเซนเซอร์ต่างๆในรถยนต์ไปจนถึงระบบความปลอดภัยเช่นถุงลมนิรภัยก็สื่อสารกับระบบในรถยนต์ผ่าน CAN บางคนอาจจะบอกว่าเรื่องการโดนแฮกในรถยนต์เป็นเรื่องไกลตัว ก็อาจจะจริงสำหรับคนที่ไม่ได้มีข้อมูลความลับหรือบาดหมางอะไรกับใคร แต่นั่นเปรียบเปรยได้กับคุณมีกล่องจดหมายวางหน้าบ้านแต่ไม่มีการล็อคกุญแจ อาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้ แต่วันหนึ่งจดหมายฉบับสำคัญก็อาจจะหายไปได้เช่นกัน
ระดับโลกคิดเห็นอย่างไร
การทำให้รถยนต์มีความปลอดภัยในด้านข้อมูลจากแฮกเกอร์เป็นปัญหาหลักกันมาอย่างยาวนานในวงการรถยนต์อยู่ทีว่าจะส่งผลกระทบมากน้อยแค่ไหน บริษัท Trend Micro บริษัทระดับโลกที่เป็นผู้นำด้านความปลอดภัยของข้อมูลสำหรับองค์กรต่างได้ให้ความเห็นว่า ในโลกที่อินเตอร์เน็ตแทรกเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของประชากรโลกแล้ว เป็นเวลาที่จะทำการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดใหม่เกี่ยวกับเรื่องการออกแบบต่างๆในวงการรถยนต์ที่เกี่ยวข้องกับระบบการสื่อสารที่โยงใยไปยังอินเตอร์เน็ตและการควบคุมผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ต้องมีทางออกที่เป็นรูปธรรมที่จะรองรับการโจรกรรมข้อมูลทางรถยนต์ในอนาคต เพราะอย่างไรวันนั้นก็ต้องมาถึงแน่ๆ (เริ่มทำอะไรตอนนี้ก็ย่อมดีกว่า) แต่สิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงอีกเช่นกันคือ มันไม่ง่ายและไม่ใช่ต้นทุนถูกๆสำหรับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ บริษัทรถยนต์มีหน้าที่ผลิตรถยนต์ให้มีคุณภาพการใช้งานที่ดีและปลอดภัยเวลาขับขี่เป็นหลัก การจะทุ่มกำลังมาวิจัยด้านความปลอดภัยของข้อมูลด้วยนับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย หรือต่อให้จะจ้างบริษัทผู้เชี่ยวชาญมาร่วมกันออกแบบก็ติดปัญหาหลายอย่างทั้งด้านข้อมูลความลับและต้นทุนที่สูง แต่ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามกลไก วันหนึ่งค่ายรถยนต์ต่างๆก็คงจะหันมาจริงจังกับเรื่องระบบความปลอดภัยด้านข้อมูลและอันตรายจากแฮกเกอร์แน่ถ้าวันนั้นมีผลกระทบที่เสียหายจากการแฮกอย่างมากในระดับมหภาค
ตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นจากการแฮกรถยนต์
ปี 2015 ชายคนหนึ่งขับรถ Jeep Cherokee อยู่ในเมืองเซนต์หลุยส์ในรัฐมิสซูรีประเทศสหรับอเมริกา ด้วยความเร็วประมาณ110กิโลเมตร/ชม. ทั้งๆที่มือของเขาไม่ได้ไปแตะต้องกับแผงควบคุมบริเวณคอนโซลรถเลย แต่แล้วแอร์ก็ถูกปรับให้เป็นลมแรงสุด ต่อมาวิทยุก็เปลี่ยนสถานีกลายเป็นสถานีพื้นฐานแนวเพลงฮิบฮ็อบที่เขาไม่ได้ชอบฟังและเสียงก็ถูกปรับให้ดังจะหนวกหู ต่อด้วยก้านปัดน้ำฝันทำงานพร้อมกับฉีดน้ำออกมาที่หน้ากระจกบังลมหน้า รถยนต์เริ่มวิ่งช้าลงและสุดท้ายก็โดนบังคับให้วิ่งลงข้างทาง เรื่องยังไม่จบแค่นั้น หน้าจอแสดงผลที่เครื่องเสียงได้แสดงรูปของ2แฮกเกอร์ที่ทำเหตุการณ์นี้ทั้งหมดขึ้นมา คือ นายCharlie Miller และนาย Chris Valasek เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจริงและไม่เชิงว่าไม่ได้คาดการณ์เอาไว้ เจ้าของรถกำลังขับรถมุ่งหน้าไปหาแฮกเกอร์2คนนี้ เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องระบบความปลอดภัยในรถยนต์ ซึ่งชาย2คนนี้ก็ได้ทำให้เห็นแล้วว่าไม่ใช่เรื่องยากเกินเอื้อม นาย Charlie Miller และนาย Chris Valasek สามารถทำเรื่องนี้ได้แม้ตัวของเขาจะอยู่ไกลออกไปหลายสิบกิโลเมตร
นายCharlie Miller (ซ้าย) และนาย Chris Valasek (ขวา) ที่สามารถแฮกเข้าไปในรถยนต์จากระยะไกลได้
นาย Charlie Miller และนาย Chris Valasek เคยทำงานร่วมกับ Chrysler ในการพัฒนาระบบสื่อสารในรถยนต์เพื่อป้องกันการบุกรุกจากแฮกเกอร์ 2สิ่งสำคัญที่ทั้ง2บอกก็คือ ถ้าบริษัทรถยนต์สร้างระบบต่างๆขึ้นมาได้ถึงแม้จะป้องกันอย่างไร แฮกเกอร์ก็สามารถที่จะเจาะระบบได้ อยู่ที่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนด้วยการทำวิศวกรรมย้อนกลับ (Reverse Engineering) เพื่อค้นหาทางเจาะผ่านระบบ อีกเรื่องก็คือเมื่อเวลาผ่านไปทางบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จำเป็นต้องมีการอัพเดตระบบคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ใหม่เพื่อเป็นการป้องกันกรณีที่แฮกเกอร์หาทางเจาะระบบได้เมื่อเวลาผ่านไป เรียกว่าระบบยิ่งเก่าก็ยิ่งเจาะง่ายขึ้นเพราะแฮเกอร์มีเวลาเรียนรู้ระบบนั้นๆนานขึ้น 2คนนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเพราะในโลกใบนี้คงไม่ได้มีแค่2คนนี้ที่เจาะระบบรถยนต์ได้ ย้อนไปในปี2011ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันและมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาก็สามารถเจาะระบบรถยนต์ผ่านอินเตอร์เน็ตได้ โดยทำการปลดล็อกรถยนต์และควบคุมเบรก กรณีศึกษานี้ไม่ได้ถูกเปิดเผยในรายละเอียดการทำงานแต่ผลการวิจัยนี้ได้ถูกนำไปใช้ในบริษัทรถยนต์นั้นๆเพื่อหาทางป้องกันภัยจากแฮกเกอร์ต่อไป
สภาพรถยนต์ที่โดน นายCharlie Miller และนาย Chris Valasek แฮก ถึงกับลงไปข้างทาง
เพื่อนๆชาว Chobrod คงจะเห็นแล้วใช่ไหมครับ เรื่องที่เราไม่คิดว่าจะส่งผลกระทบกับตัวเราได้อย่างเช่นข้อมูลความปลอดภัยและการควบคุมรถยนต์ ก็ยังมีแฮกเกอร์ขยันสร้างเรื่องโจมตีรถยนต์ได้อีก แต่ในทางกลับกันแฮกเกอร์ดีๆก็มีเขาผู้นี้เองที่จะเป็นคนค้นหาจุดบอดต่างๆของรถยนต์และนำเสนอให้บริษัทรถยนต์พัฒนาระบบป้องกันให้ดีขึ้นเท่าที่พวกเขาจะทำได้ก่อนที่จะเกิดเรื่องเสียหายไปมากกว่านี้อย่างเช่นที่ นาย Charlie Miller และนาย Chris Valasek ได้ทำอยู่นี่เอง
ดูเพิ่มเติม
>> อุปกรณ์ที่จะเปลี่ยนรถยนต์คันเก่งของคุณให้เป็นที่ตั้งแคมป์ง่ายๆ
>> รถแต่งงาน คุณค่าที่ควรคู่
ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่
อ่านรีวิวรายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์ เชิญที่นี่