BYD SEAL 5 DM-i Super Hybrid ปี 2025 ตีตั๋วเด็ก ปลั๊กอินไฮบริดชูราคาพิเศษ 699,900 บาท

ตลาดรถยนต์ในประเทศ | 11 ส.ค 2568
แชร์ 0

BYD SEAL 5 DM-i Super Hybrid ปี 2025 ได้เข้ามาเขย่าตลาดรถยนต์ซีดานในประเทศไทยอีกครั้ง โดยมาพร้อมกับเทคโนโลยี Plug-in Hybrid (PHEV) ที่ผสานขุมพลังเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างลงตัว มอบทั้งสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมและความประหยัดที่เหนือกว่า พร้อมราคาที่สร้างความประหลาดใจให้กับคู่แข่ง

BYD SEAL 5 DM-i Super Hybrid ปี 2025 ทำตลาดในประเทศไทยด้วยกัน 2 รุ่นย่อย

  • BYD SEAL 5 DM-i Super Hybrid รุ่น Standard ยังไม่เผยราคา มาพร้อมแบตเตอรี่ Blade Battery (LFP) ขนาด 13.08 kWh. เคลมระยะวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนตามมาตรฐาน NEDC ไว้ที่ 80 กิโลเมตร
  • BYD SEAL 5 DM-i Super Hybrid รุ่น Premium ราคา 769,900 บาท (ราคาพิเศษ 699,900 บาท) ติดตั้งแบตเตอรี่ Blade Battery (LFP) ขนาด 18.3 kWh เคลมระยะวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนตามมาตรฐาน NEDC ไว้ที่ 120 กิโลเมตร.

BYD SEAL 5 DM-i Super Hybrid ปี 2025 ตัวเลือก 3 สี ได้แก่

  • สีขาว Arctic White
  • สีดำ Quantum Black
  • สีเทา Harbour Grey (เฉพาะในรุ่น Premium)

ภายในห้องโดยสารจะมาในโทนสีดำ

BYD SEAL 5 DM-i ถูกวางตำแหน่งทางการตลาดให้แข่งขันในกลุ่มรถยนต์ City Car หรือ B-Segment ในตลาดไทย ซึ่งมีคู่แข่งสำคัญอย่าง Toyota Yaris Ativ และ Honda City e:HEV ทว่า BYD ได้ใช้กลยุทธ์ที่น่าสนใจ ด้วยการนำเสนอรถยนต์ที่มีขนาดมิติภายนอกที่ใหญ่โตใกล้เคียงกับรถยนต์ C-Segment เช่น Toyota Corolla Altis และ Honda Civic โดยตัวรถมีความยาวถึง 4,780 มม. และระยะฐานล้อ 2,718 มม. ซึ่งยาวกว่า Honda Civic และ Toyota Corolla Altis บางรุ่น นี่คือสิ่งที่ BYD เรียกว่ากลยุทธ์ "ตีตั๋วเด็ก" คือการมอบรถยนต์ขนาดใหญ่ระดับ C-Segment ในราคาของ B-Segment เพื่อสร้างความคุ้มค่าสูงสุดแก่ผู้บริโภค

จุดเด่นสำคัญของ BYD SEAL 5 DM-i คือการนำเสนอเทคโนโลยี Plug-in Hybrid (DM-i Super Hybrid) มีมอเตอร์ Generator ขนาดใหญ่ ที่ช่วยในการปั่นไฟกลับเข้าแบตเตอรี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงกว่าระบบ Hybrid ของรถญี่ปุ่น ยิ่งไปกว่านั้น BYD SEAL 5 DM-i ยังเป็นรถที่ ประกอบในประเทศไทย ทีม R&D ของ BYD ในประเทศไทยได้ทำการปรับจูนช่วงล่างให้เหมาะสมกับสภาพถนนในประเทศไทยโดยเฉพาะ เพื่อประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้น

BYD SEAL 5 DM-i Super Hybrid ปี 2025 ดีไซน์และออปชันภายนอกของรถ

ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด BYD Ocean Series ซึ่งสะท้อนความสปอร์ตและความคล่องตัวในสไตล์ซีดาน

  • กระจังหน้า มาในดีไซน์แบบ D-matrix ไร้กรอบ (Dot Matrix)
  • ระบบไฟส่องสว่าง ภายนอกเป็นแบบ Full LED ทั้งคัน โดยไฟหน้าเป็นแบบ Projector LED พร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ และฟังก์ชันหน่วงเวลาการปิดไฟหน้า Follow-Me-Home. ไฟ Daytime Running Light แบบ LED ถูกรวมเข้ากับไฟเลี้ยว และเปลี่ยนเป็นไฟเลี้ยวในตัว. ส่วนไฟท้ายเป็นดีไซน์ Dot Matrix พร้อม LED Light Bar เชื่อมยาวซ้าย-ขวา และไฟเลี้ยวเป็นแบบ Sequential ที่ดูทันสมัยทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
  • ล้อและยาง ใช้ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว แบบทูโทน (สีดำเงาปัดเงา) และมียาง Sai Lun รุ่น Erange Performance ขนาด 215/55 R17
  • กระจกมองข้าง สามารถปรับและพับด้วยไฟฟ้า พร้อมพับเก็บอัตโนมัติ และไฟส่องพื้นบริเวณภายนอกกระจกมองข้าง (มีเฉพาะรุ่น Premium)
  • มือจับประตู เป็นสีเดียวกับตัวรถ พร้อมระบบ Keyless Entry และสามารถปลดล็อกรถด้วยการ์ด NFC หรือ Digital Key ผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน
  • ช่องชาร์จและเติมน้ำมัน จุดชาร์จไฟ AC 6.6 kW (Type 2) อยู่ทางด้านขวาของตัวรถ ส่วนช่องเติมน้ำมันเบนซิน (รองรับ E20) อยู่ทางด้านซ้าย
  • ระบบ V2L (Vehicle to Load) เฉพาะรุ่น Premium สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าออกสู่ภายนอกได้สูงสุด 2.2 kW (2,200 วัตต์) ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แคมปิ้งหรือกิจกรรมกลางแจ้ง
  • ในส่วนของโครงสร้าง ฝากระโปรงหน้ามาพร้อมโช้คค้ำยัน รถติดตั้งดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ บริเวณซุ้มล้อด้านในยังมีการกรุด้วยวัสดุซับเสียงเพื่อลดเสียงรบกวนเข้าสู่ห้องโดยสาร

ภายในห้องโดยสารของ BYD SEAL 5 DM-i Super Hybrid ปี 2025  ได้รับการออกแบบในสไตล์ Double Layer ที่ดูทันสมัยและให้ความรู้สึกกว้างขวางเป็นพิเศษ โดยเฉพาะพื้นที่วางขาด้านหลังที่เหลือเฟือ. การตกแต่งเน้นโทนสีดำตัดกับทริมสีเทาเข้ม สีเงิน และพลาสติก 3 มิติ พร้อมการเดินด้ายสีขาวและสีฟ้าที่เพิ่มความสปอร์ตและพรีเมียม

  • วัสดุเบาะ สำหรับรุ่น Standard ใช้เบาะผ้า ส่วนรุ่น Premium เป็นหนังสังเคราะห์ดีไซน์สปอร์ตแบบ Bucket Seat
  • การปรับเบาะ เบาะผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และเบาะผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง (เฉพาะรุ่น Premium)
  • พวงมาลัย เป็นแบบมัลติฟังก์ชันหุ้มหนังสังเคราะห์ ทรงสปอร์ตท้ายตัด 3 ก้าน ที่สามารถปรับได้ 4 ทิศทาง (ขึ้น-ลง-เข้า-ออก)
  • หน้าจอแสดงผล เรือนไมล์ดิจิทัลขนาด 8.8 นิ้ว หน้าจอสัมผัสระบบมัลติมีเดียขนาดใหญ่ 12.8 นิ้ว สำหรับรุ่น Premium (รุ่น Standard ขนาด 10.1 นิ้ว). รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย พร้อมกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศาที่ให้ภาพคมชัด (เฉพาะรุ่น Premium)
  • ระบบปรับอากาศ เป็นแบบอัตโนมัติ พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ที่มีเฉพาะเวอร์ชันไทย และระบบกรองฝุ่น PM 2.5
  • เกียร์ เป็นสวิตช์เกียร์ไฟฟ้าแบบหมุน (Dial)
  • ปุ่มควบคุม มีปุ่ม Physical สำหรับฟังก์ชันสำคัญต่าง ๆ เช่น การปรับระดับเสียง โหมด EV/HV, ไฟฉุกเฉิน, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และโหมดการขับขี่ (Sport/Eco/Normal)
  • การชาร์จไร้สาย มีที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย 15W ให้มา (เฉพาะรุ่น Premium)
  • พอร์ตเชื่อมต่อ มีช่อง USB Type-C และ Type-A อย่างละ 1 ตำแหน่งสำหรับผู้โดยสารด้านหน้า และสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง (เฉพาะรุ่น Premium) พร้อมช่องจ่ายไฟ 12V
  • พื้นที่เก็บสัมภาระ ด้านท้ายมีความจุ 450 ลิตร ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งาน และเบาะหลังสามารถพับแยกแบบ 60/40 ได้เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระขนาดใหญ่
  • มีที่พักแขนกลางเบาะหลังพร้อมช่องวางแก้ว 2 ช่อง
  • กระจกไฟฟ้าทั้ง 4 บานสามารถขึ้น-ลงได้แบบ One-touch Auto พร้อมระบบป้องกันการหนีบ (รุ่น Premium มีทั้ง 4 บาน, รุ่น Standard เฉพาะคนขับ)

BYD SEAL 5 DM-i Super Hybrid ปี 2025 ใช้ระบบขับเคลื่อน DM-i Super Hybrid หรือ Plug-in Hybrid (PHV) ที่เน้นการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก

เครื่องยนต์เบนซิน Xiaoyun 1.5 ลิตร (Atkinson Cycle) 4 สูบ ให้กำลังสูงสุด 72 kW ประมาณ 98 แรงม้า และแรงบิด 122 นิวตันเมตร เครื่องยนต์รุ่นนี้มีอัตราส่วนกำลังอัดสูงถึง 15.5:1 มอเตอร์ไฟฟ้า มอเตอร์ขับเคลื่อนหลัก (Traction Motor) ให้กำลังสูงสุดถึง 145 kW (ประมาณ 197 แรงม้า) และแรงบิด 300 นิวตันเมตร นอกจากนี้ยังมีมอเตอร์ Generator ขนาดใหญ่สำหรับปั่นไฟ ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญของระบบ DM-i กำลังรวมทั้งระบบ เมื่อเครื่องยนต์และมอเตอร์ทำงานร่วมกัน จะให้กำลังสูงสุดประมาณ 220 แรงม้า และแรงบิดรวมสูงสุดที่ 300 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เคลมไว้ที่ 7.5 วินาที

โหมดการขับขี่ รถสามารถขับเคลื่อนได้หลายโหมด ทั้ง EV (ไฟฟ้าล้วน), HEV (Hybrid), Series (เครื่องยนต์ปั่นไฟขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์), Parallel (เครื่องยนต์และมอเตอร์ทำงานร่วมกัน), และ Engine Direct Drive (เครื่องยนต์ขับเคลื่อนโดยตรง). รถจะพยายามใช้โหมด EV เป็นหลักเมื่อแบตเตอรี่มีเพียงพอ เพื่อการประหยัดพลังงานสูงสุด

ระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วน (EV Mode) ตัวเลขเคลม (NEDC) รุ่น Premium 120 กม. และรุ่น Standard 80 กม. อัตราประหยัดน้ำมัน (HV Mode) ตัวเลขเคลม: 26.32 กม./ลิตร.

ช่วงล่าง ด้านหน้าเป็นแบบอิสระ MacPherson Strut และด้านหลังเป็นแบบคานบิด Torsion Beam

พวงมาลัย เป็นระบบไฟฟ้าที่สามารถปรับน้ำหนักได้ 2 โหมด (Comfort/Sport) ให้ความรู้สึกเบาที่ความเร็วต่ำ ซึ่งเหมาะกับการขับขี่ในเมือง และมีน้ำหนักหน่วงขึ้นเมื่อความเร็วสูงขึ้น

ระบบความปลอดภัยของรถ BYD SEAL 5 DM-i Super Hybrid ปี 2025 

  • ถุงลมนิรภัย ติดตั้งมาให้ 6 ตำแหน่ง ครอบคลุมทั้งคู่หน้า, ด้านข้าง (คนขับและผู้โดยสารตอนหน้า), และม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง (ด้านหน้าและด้านหลัง).
  • ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS)
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control - ACC) และแบบแปรผันอัจฉริยะ (Intelligent Cruise Control - ICC) ที่รักษาระยะห่างจากรถคันหน้าโดยอัตโนมัติ
  • ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Automatic Emergency Braking - AEB) และระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้า (Front Collision Warning - FCW) เพื่อป้องกันการชน.
  • ระบบช่วยเตือนการชนด้านหลัง (Rear Collision Warning - RCW) (เฉพาะรุ่น Premium).
  • ระบบช่วยเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Detection - BSD) และระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (Rear Cross Traffic Alert - RCTA) (เฉพาะรุ่น Premium).
  • ระบบช่วยควบคุมรถไม่ให้ออกนอกช่องทางเดินรถ (Lane Departure Prevention - LDP).
  • ระบบจดจำป้ายสัญญาณจราจร (Traffic Sign Recognition - TSR).
  • ระบบช่วยควบคุมไฟสูงอัจฉริยะ (Intelligent High Beam Control - IHBC).
  • ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง (Tire Pressure Monitoring System - TPMS).
  • เซ็นเซอร์ช่วยตรวจจับวัตถุ ด้านหลัง 4 ตำแหน่งในทุกรุ่นย่อย และเพิ่มด้านหน้า 2 ตำแหน่งในรุ่น Premium.
  • กล้องมองภาพ รุ่น Premium มาพร้อมกล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา ขณะที่กล้องมองภาพด้านหลังมีให้ในทุกรุ่นย่อย.
  • ระบบเบรก ประกอบด้วยระบบช่วยเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS), ระบบช่วยป้องกันการลื่นไถลขณะขับขี่ (TCS), ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรก (EBD), ระบบช่วยกระจายแรงเบรกอัจฉริยะ (HBA), ระบบช่วยควบคุมการไหลของรถอัตโนมัติ (AVH), ระบบควบคุมการทรงตัวของตัวรถขณะเข้าโค้ง (VDC), และระบบควบคุมการทรงตัวบนทางลาดชัน (HHC).
  • จุดยึดเบาะนั่งเด็ก มี ISOFIX 2 ตำแหน่งบริเวณเบาะหลัง
  • แบตเตอรี่ 12V สำหรับระบบไฟฟ้าของรถเป็นแบบ Lithium Iron Phosphate (LFP) ซึ่งทนทานและมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าแบตเตอรี่ตะกั่วกรดทั่วไป โดย BYD ให้การรับประกันแบตเตอรี่ 12V นานถึง 6 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร. นอกจากนี้ แบตเตอรี่ Blade Battery แรงดันสูงยังมาพร้อมการรับประกันเซลล์แบตเตอรี่นานถึง 10 ปี หรือ 200,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

ตลาดรถมือสอง มีรถมากมายให้เลือกในราคาที่ถูกใจ