สถาบันวิเคราะห์ต่างประเทศชี้ปี 2583 รถยนต์ไฟฟ้าจะขายได้มากที่สุด แถม “จีน” ยังเป็นเบอร์หนึ่งของตลาดรถโลกอีกด้วย
หากว่ารายงานของผลการวิจัยของ BloombergNEF หรือ BNEF เป็นจริง ก็จะทำให้ส่วนแบ่งของยอดขายรถยนต์ในตลาดรถทั่วโลกในปี 2583 หรือปี 2040 กว่า 57% ของจำนวน "รถยนต์นั่งส่วนบุคคล" ที่คนทั้งโลกซื้อมาจะเป็น "รถยนต์ไฟฟ้า" และขณะที่ตัวเลขอีก 81% ก็จะเป็นสัดส่วนของ "รถบัส" ที่ขนถ่ายผู้โดยสารในการเดินทางที่จะต้องเป็น "รถบัสไฟฟ้า" ซึ่งมันจะทำให้พลิกโฉมหน้าของอุตสาหกรรมรถยนต์โลกไปในทันที
ผลการวิจัยชิ้นนี้ที่ถูกเปิดเผยออกมาสร้างความตกตะลึงให้กับโลกรถยนต์ไม่น้อย เพราะ BNEF ถือเป็นองค์กรวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ที่น่าเชื่อถือติดอันดับโลกเลยทีเดียว และผลการวิจัยของพวกเขาที่ออกมาก็สอดรับกับการคาดการณ์ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงในอนาคต
ตัวเลขที่ชัดเจนมากที่สุดจากผลงานวิจัยระบุเอาไว้ว่า รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ จะครองตลาด 56% ของยอดขายรถยนต์เชิงพาณิชย์ และ 31% ของตลาดรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดกลางและขนาดเล็กในยุโรป อเมริกาและจีนภายในอีก 20 ปีข้างหน้า
ขณะเดียวกัน ในส่วนกลุ่มตลาดรถที่รถยนต์ไฟฟ้าน่าจะเข้าไปเจาะได้ยากคือกลุ่ม "รถบรรทุก" ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีผู้ประกอบการเลือกใช้รถยนต์บรรทุกพลังงานไฟฟ้าเพียงแค่ 19% ในปี 2583 และอีกกลุ่มคือ "ตลาดรถกระบะ" ที่รถยนต์ไฟฟ้าไม่น่าจะเป็นตัวเลือก เพราะแต่ละค่ายอาจจะเน้นแข่งขันกันด้วยพลังงานทางเลือกอื่นๆ เช่น แก๊สธรรมชาติ และเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน
บทวิเคราะห์ยังสะท้อนด้วยว่าโลกมาถึงจุดสูงสุดและก้าวผ่านความนิยมของรถยนต์น้ำมันเชื้อเพลิงไปแล้ว
โคลิน แม็คเคอราเชอร์ หัวหน้า แผนกยานยนต์ล้ำหน้าของ BNEF สะท้อนถึงงานวิจัยดังกล่าวที่เผยแพร่ออกมาว่า รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นตัวขับเคลื่อนน่าจะหมดไปจากถนนในไม่ช้า และจะถูกแทนที่ด้วยรถยนต์ไฟฟ้าแทน แต่การปรับเปลี่ยนที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมรถยนต์ของโลกจะเป็นไปอย่างช้าๆ ในขณะนี้ แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงปี 2572 ไปทิศทางของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในตลาดโลกก็จะพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก พร้อมกันนี้ เรายังเชื่อว่าในปัจจุบันเราเลยจุด "สูงสุด" ของการขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแบบน้ำมันเชื้อเพลิง หรือรถเก๋งไปแล้วด้วย
สิ่งที่จะขับเคลื่อนให้ "รถยนต์ไฟฟ้า" เกิดได้อย่างเต็มตัวและครองส่วนแบ่งในตลาดรถเกือบทั้งหมดในอีก 20 ปีข้างหน้า BNEF มองว่าสิ่งนั้นคือ "ราคาที่ลดลง" ในส่วนของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และราคามันจะลงอย่างต่อเนื่องนับจากปี 2563 เป็นต้นไป และเชื่อว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาถูกกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปในทุกๆ ตลาดรถ และยังรวมไปถึงค่าใช้จ่ายสำหรับการดูแลรถยนต์ไฟฟ้าที่จะลดลงตามไปด้วย เพราะจากสถิติย้อนหลังไปเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน หรือในปี 2554 มาจนถึงปัจจุบัน แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่เป็นหัวใจของการกักเก็บพลังงานไฟฟ้าในรถยนต์ไฟฟ้า ราคาถูกลงไปถึง 85% เนื่องจากการประหยัดต้นทุนการผลิตในจำนวนที่เพิ่มขึ้น ผสมกับการพัฒนาเทคโนโลยีด้านต่างๆ ของรถยนต์ไฟฟ้าด้วย
ดูเพิ่มเติม
>> สรรพสามิตจ่อขึ้นภาษี "แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า" บังคับค่ายรถกำจัด-รีไซเคิลครบวงจร
>> Continental เชื่ออีก 10 ปี "รถยนต์ไฮโดรเจน" จะโค่น "รถยนต์ไฟฟ้า"
และในอีก 20 ปีข้างหน้า "จีน" จะมาเป็นเบอร์หนึ่งของยอดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจากตลาดรถทั่วโลก
นอกไปจากนี้ BNEF ยังคาดการณ์ด้วยว่า ประเทศจีนยังคงเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะครองส่วนแบ่งตลาด 48% และ 26% ของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมดที่จำหน่ายในปี 2568 และปี 2583 ตามลำดับ และครองอันดับที่สองในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในช่วง 10 ปีนับจากนี้ ก่อนผงาดเป็นเบอร์หนึ่งของโลกในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าต่อไปในอีก 10 ปีให้หลัง
BNEF ทิ้งท้ายในงานวิจัยเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าชิ้นนี้ด้วยว่า ในปี 2573 รถยนต์ไฟฟ้าจะขายได้ทั่วโลกถึง 28 ล้านคัน และจะขายได้เพิ่มอีกเป็นเท่าตัวคือ 56 ล้านคันในปี 2583 ขณะที่ปี 2561 ที่ผ่านมารถยนต์ไฟฟ้าขายไปได้รวมกันทั้งสิ้นแค่ 2 ล้านคัน การคาดการณ์นี้ ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นไปในรูปแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว
หากเป็นดั่งผลวิจัยของบลูมเบิร์กก็แน่ชัดว่ารถยนต์น้ำมันจะค่อยๆ หมดไปจากตลาดรถ
ถือเป็น "ยุคทอง" ของรถยนต์ไฟฟ้าเลยทีเดียวหากตัวเลขทีว่าทั้งหมดจากผลการวิจัยของ BNEF มันเกิดขึ้นได้จริงในอีก 20 ปีข้างหน้า ซึ่งก็แน่นอนว่าสำหรับตลาดรถในประเทศไทยก็คงเลี่ยงความนิยมในยานยนต์ประเภทนี้ไปได้ แต่อีกมุมก็จะเป็นการ "ล่มสลาย" ของรถยนต์น้ำมันเชื้อเพลิงไปในตัว และจะทิ้งไว้แค่ประวัติศาสตร์อันเคยโชติช่วงของรถยนต์ประเภทนี้เท่านั้น
ดูเพิ่มเติม
>> เงียบไปไม่เอา! EU ออกกฎใหม่ รถยนต์ไฟฟ้าต้องมีเสียงหลอกด้วย
>> ส่อง 5 รถรุ่นฮิตใน “ตลาดรถ” ตัวไหนกินน้ำมันจุกว่ากัน
ติดตามข่าวสารรถยนต์ คลิกที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสองสภาพดี เชิญเข้าดูที่ตลาดรถตรงนี้