chobrod ขนทุกรายละเอียดจากภาครัฐว่าอีโคคาร์ในไทยมีคุณสมบัติเป็นอย่างไร
Eco Car ไม่ใช่เรื่องใหม่บนท้องถนนไทยเท่าไรนัก แม้ว่าการส่งเสริมอย่างจริงจังจะยังไม่เป็นรูปธรรมเลยทีเดียว กระทรวงอุตสาหกรรมได้ประกาศตั้งแต่ปี 2556 แล้วว่าครม.เห็นชอบมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานตามหลักสากล และ BOI ได้ออกประกาศรับรองการส่งเสริมในเวลาต่อมา แล้ว Eco Car มีคุณสมบัติกำหนดไว้อย่างไรบ้าง กระทรวงอุตสาหกรรมออกประกาศไว้ดังนี้
1. Eco Car หรือ รถยนต์ประหยัดพลังงานตามหลักสากล สำหรับในรุ่นที่ 2 ต้อง "สะอาด ประหยัด ปลอดภัย" สอดคล้องกับทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์โลก สามารถเป็นได้ทั้งรถไฮบริด EV หรือรถที่ใช้พลังงานทดแทนก็ได้ และต้องได้รับการอนุมัติจากกระทรวงอุตสาหกรรมก่อนทำการผลิต
รถยนต์ที่มีคุณสมบัติสะอาด คือรถยนต์ที่มีการปล่อยสารมลพิษไอเสียในระดับต่ำโดยผู้ซื้อรถยนต์สามารถทราบได้ว่า รถยนต์คันนั้นมีความสะอาดในระดับใด ได้จากการดูดาวในช่องมาตรฐานสิ่งแวดล้อมบน ECO Sticker ประกอบด้วย
ดาว มอก.: รถยนต์ทุกคันที่วิ่งบนท้องถนนในประเทศไทย จะต้องผ่านการทดสอบมาตรฐานมลพิษของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ซึ่งกำหนดปริมาณสารมลพิษตามแนวทางของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป เทียบเท่าได้กับ Euro 4 ดังนั้น รถยนต์ทุกคันต้องได้ดาว มอก. เป็นพื้นฐาน
ดาว Euro 4, 5 และ 6: เป็นมาตรฐานมลพิษของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป โดยมี Euro 6 เป็นมาตรฐานมลพิษที่มีเกณฑ์เข้มงวดที่สุด การจะได้ดาว Euro 4, 5 หรือ 6 นั้น ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าสามารถนำเอกสารรับรองตามข้อกำหนดทางเทคนิคของ UN R83 มาแสดง
ข้อกำหนดทางเทคนิค UN R83 คือ การทดสอบมาตรฐานมลพิษของรถยนต์สำหรับรถยนต์นั่ง รถยนต์บรรทุก และรถยนต์นั่งที่ดัดแปลงมาจากรถยนต์บรรทุก ซึ่งทางสหประชาชาติ (UN) ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงข้อกำหนดมาตรฐานมลพิษให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ล่าสุด เป็นระดับ Euro 6 (ดีที่สุด)) โดยในส่วนของประเทศไทยนั้น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมได้กำหนดให้รถยนต์ทุกคันจะต้องผ่านการทดสอบมาตรฐานมลพิษตาม มอก. (มาตรฐานบังคับ) ซึ่งเทียบได้กับมาตรฐาน Euro 4 ของสหประชาชาติ (UN)
การทดสอบมาตรฐานมลพิษของรถยนต์เครื่องยนต์เบนซินและรถยนต์เครื่องยนต์เบนซินตาม UN R83 จะมีความแตกต่างกัน โดยในส่วนของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินนั้น จะประกอบด้วยการทดสอบ 7 ลักษณะ ดังนี้
ลักษณะที่ 1 : ปริมาณสารมลพิษภายหลังการติดเครื่องขณะเย็น
ลักษณะที่ 2 : ปริมาณคาร์บอนมอนอกไซด์ในขณะเครื่องยนต์เดินเบา
ลักษณะที่ 3 : ปริมาณสารมลพิษจากห้องข้อเหวี่ยง
ลักษณะที่ 4 : ปริมาณสารมลพิษไอระเหย มีค่ามาตรฐานของการทดสอบรับรองเฉพาะแบบการ
ลักษณะที่ 5 : ความทนทานของอุปกรณ์ควบคุมสารมลพิษ
ลักษณะที่ 6 : การทดสอบปริมาณสารมลพิษจากรถยนต์ที่อุณหภูมิต่ำ (-7 °C)
ลักษณะที่ 7 : การทดสอบระบบวินิจฉัยอุปกรณ์ควบคุมสารมลพิษ
>>> ดูเพิ่มเติม: ราคา BMW-X1
รถยนต์ที่มีคุณสมบัติประหยัด: น้ำมันเชื้อเพลิงที่เติมในรถยนต์ จะประกอบด้วยสารคาร์บอนเป็นหลัก โดยน้ำมันเชื้อเพลิงจะถูกเผาไหม้ในเครื่องยนต์เพื่อเป็นพลังงานในการขับเคลื่อนรถยนต์ หากการเผาไหม้ของน้ำมันเป็นไปอย่างสมบูรณ์ รถยนต์จะปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกมาทางท่อไอเสีย ในขณะที่หากเกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบรูณ์ แก๊สคาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO) จะออกมาแทน เมื่อคำนึงถึงหลักการ “Carbon Balance” สามารถสรุปได้ว่า หากปริมาณคาร์บอนของมลพิษไอเสียมาก ก็หมายความว่า รถยนต์คันนั้น บริโภคน้ำมันมาก ในทำนองเดียวกัน หากปริมาณคาร์บอนของมลพิษไอเสียน้อย ย่อมหมายถึง รถยนต์คันนั้นบริโภคน้ำมันน้อยด้วยเช่นกัน
ในส่วนของขั้นตอนการทดสอบอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง จะต้องนำรถยนต์ทดสอบมาวิ่งบนลูกกลิ้งหรือแชสซีส์ไดนาโมมิเตอร์ในห้องปฏิบัติการ ณ ระดับความเร็วต่างๆ ตามช่วงเวลาที่กำหนด การวิ่งทดสอบจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง โดยช่วงแรกจะเป็นการจำลองการขับรถยนต์ตามสภาวะในเมือง จำนวน 4 วัฏจักร ระยะเวลา 780 วินาที ส่วนช่วงที่สอง เป็นการจำลองการขับรถยนต์ตามสภาวะนอกเมือง จำนวน 1 วัฏจักร ระยะเวลา 400 วินาที การวิ่งรถยนต์ในสองสภาวะดังกล่าว จะมีการวัดปริมาณก๊าซ CO2 ของสภาวะในเมือง และนอกเมือง เมื่อได้ปริมาณก๊าซ CO2 แล้ว ระบบจะทำการวิเคราะห์ปริมาณการใช้น้ำมันอ้างอิงของรถยนต์จากสูตรนี้
น้ำมันเบนซิน
FC = (0.118/D)[(0.848*HC) + (0.429*CO) + (0.273*CO2)]
FC = อัตราการใช้เชื้อเพลิงสำหรับรถยนต์ชนิด “Positive Ignition Engine” ที่ใช้น้ำมันเบนซิน หน่วย:ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร
HC = ปริมาณการปล่อยไฮโดรคาร์บอน หน่วย : กรัมต่อกิโลเมตร
CO = ปริมาณการปล่อยคาร์บอนมอนอกไซด์ หน่วย : กรัมต่อกิโลเมตร
CO2 = ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หน่วย : กรัมต่อกิโลเมตร
D = ความหนาแน่น (Density) ของเชื้อเพลิงทดสอบ
ข้อมูลอัตราการใช้น้ำมัน (หน่วย ลิตร/100 กิโลเมตร หรือ กิโลเมตรต่อลิตร) ซึ่งผ่านการทดสอบตามหลักเกณฑ์ UN R101 ในห้องปฏิบัติการ จะต้องประกอบด้วย 3 สภาวะ ได้แก่ สภาวะรวม (Combined) สภาวะในเมือง (Urban) และสภาวะนอกเมือง (Extra-Urban) โดยอัตราการใช้น้ำมัน
ข้อกำหนดทางเทคนิค UN R101 คือ การทดสอบหาอัตราใช้น้ำมันเชื้อเพลิง โดยใช้ Gas Analyzer ซึ่งเป็น Flow Meter ที่มีความเที่ยงตรงที่สุด โดยการทดสอบจะกระทำในห้องปฏิบัติการที่ได้ควบคุมจะกระทำโดยการนำรถยนต์ทดสอบ มาวิ่งบนแชสซีส์ไดนาโมมิเตอร์ในห้องปฏิบัติการ ณ ระดับความเร็วต่างๆ ตามช่วงเวลาที่กำหนดในรูป
การทดสอบแบ่งออกเป็น 2 ช่วง โดยช่วงแรกจะเป็นการจำลองการขับรถยนต์ตามสภาวะในเมือง (Urban Condition) จำนวน 4 วัฎจักร รวมระยะเวลา 780 วินาที ส่วนช่วงที่สอง เป็นการจำลองการขับรถยนต์ตามสภาวะนอกเมือง (Extra-Urban Condition) จำนวน 1 วัฎจักร รวมระยะเวลา 400 วินาที รวมเวลาที่ใช้ทั้งสิ้นเป็น 1,180 วินาที โดยความเร็วจริงของการขับเคลื่อนสามารถจะคลาดเคลื่อนจากความเร็วที่กำหนดไม่เกิน ±2 กม./ชม. ในระหว่างการขับเคลื่อนรถยนต์ทดสอบ จะมีการเก็บตัวอย่างการปล่อยไอเสียจากรถยนต์ทดสอบซึ่งประกอบด้วย ไฮโดรคาร์บอน (HC), ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพื่อนำปริมาณการปล่อยไอเสียจากรถยนต์ และความหนาแน่นของเชื้อเพลิงทดสอบ (Reference Fuel) มาใช้ คำนวณหาอัตราการใช้เชื้อเพลิงในแต่ละสภาวะต่อไป
เมื่อคำนวณหาอัตราใช้น้ำมันเชื้อเพลิงของสภาวะในเมืองและนอกเมืองได้แล้ว ก็จะนำ ค่าอัตราการใช้เชื้อเพลิงทั้งสองสภาวะ พร้อมกับระยะทางเทียบเท่าของแต่ละสภาวะ ไปคำนวณอัตราใช้น้ำมันเชื้อเพลิงหรือปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวม (Combined Condition) ต่อไป อัตราการใช้น้ำมันอ้างอิงที่ได้จากการทดสอบตามมาตรฐาน UN R101 มีลักษณะสำคัญดังนี้
เป็นการทดสอบรถยนต์ภายในห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 17025
ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอ้างอิงในการทดสอบ (Reference Fuel)
มีวิศวกรของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และ/หรือ หน่วยงานความคุมทางเทคนิค (Technical Service) ที่ได้รับการรับรองจากประเทศสมาชิก UN WP29 กำกับดูแลตลอดการทดสอบ
ได้รับการตรวจรับรองผลการทดสอบจาก สมอ. และ/หรือ ประเทศสมาชิก UN และมี Emark รับรองผล
2. Eco Car ที่ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงอุตสาหกรรมก่อนทำการผลิตต้องสร้างจากโครงรถที่นัยสำคัญต่างจากประเภทอื่น โครงรถในที่นี้หมายถึงตัวถังรถในโครงสร้างหลัก ไม่รวมกับส่วนประกอบเพิ่มเติมอย่างกันชน, โคมไฟ ในการพิจารณาความแตกต่างจะดูจาก Profile Shape ของรถที่ต้องแตกต่างอย่างชัดเจน
3. Eco Car ที่ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงอุตสาหกรรมก่อนทำการผลิตต้องมีข้อกำหนดทางเทคนิคดังนี้
รถยนต์ที่มีคุณสมบัติปลอดภัย: อุบัติเหตุทางรถยนต์เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจและไม่สามารถควบคุมได้ อันนำมาซึ่งความเสียหายต่อร่างกาย ทรัพย์สิน และระบบเศรษฐกิจ เพื่อลดความเสียหายดังกล่าว ภาครัฐจึงส่งเสริมให้รถยนต์มีการติดตั้งระบบที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารมีความปลอดภัยต่อการเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งโดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็น 2 ระบบ คือ ระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Active Safety) ได้แก่ มาตรฐานระบบเบรก (R13 หรือ R 13H) และระบบความปลอดภัยเชิงปกป้องเมื่อเกิดเหตุ (Passive Safety) ได้แก่ มาตรฐานปกป้องผู้โดยสารจากการชนด้านหน้าของตัวรถ (R94) และมาตรฐานปกป้องผู้โดยสารจากการชนด้านข้างของตัวรถ (R95)
ข้อกำหนดทางเทคนิค UN R13H (The approval of passenger cars with regard to braking) ประกอบด้วยการทดสอบ 7 ลักษณะ ดังนี้
ทั้งนี้ การทดสอบข้างต้น จะกระทำทั้งกรณีมวลบรรทุกสูงสุด (Laden) และมวลรถเปล่า (Unladen) รวมทั้ง การทดสอบในกรณีเครื่องยนต์ดับ
นอกจากนี้แล้ว ยังมีการทดสอบการทำงานของระบบไฟเตือน และสภาพการวิ่งของรถยนต์ในขณะเบรกในกรณีที่ระบบ ABS ไม่ทำงาน รวมทั้ง การทดสอบการทำงานของระบบ ABS ภายใต้การรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Compatibility) อีกด้วย
ข้อกำหนดทางเทคนิค UN R94 (Protection of the occupants in the event of a frontal collision) คือ การทดสอบเพื่อพิสูจน์ความปลอดภัยของยานยนต์ในเรื่องการปกป้องผู้ขับขี่ และผู้โดยสารจากการชนด้านหน้า จะเป็นการทดสอบโดยรถยนต์ทดสอบ ซึ่งมีหุ่นจำลอง (Dummy) ของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร เคลื่อนที่โดยใช้เครื่องมือฉุดลาก ด้วยความเร็วระหว่าง 56–57 กม./ชม. พุ่งเข้าชนแบบจำลองหัวรถยนต์ที่สามารถยุบตัวได้แบบเยื้องศูนย์ด้านหน้า 40% ของรถยนต์ (พื้นที่ปะทะด้านคนขับคิดเป็นร้อยละ 40 ของความกว้างรถยนต์)
สภาพของหุ่นจำลอง (ผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร) ได้แก่ การบาดเจ็บที่หัว ,การบาดเจ็บที่คอ, โมเมนต์ดัดที่คอ, การรับแรงที่หน้าอก, Viscous Criterion, แรงกดที่หน้าแข้ง, การเคลื่อนตัวของข้อต่อหัวเข่า และการรับแรงที่ขา ดังนี้
ข้อกำหนดทางเทคนิค UN R95 (Protection of the Occupants in the event of a Lateral Collision) คือการทดสอบเพื่อพิสูจน์ความปลอดภัยของยานยนต์ในเรื่องการปกป้อง ผู้ขับขี่จากการชนด้านข้าง จะเป็นการทดสอบโดยนาแบบจำลองหัวรถยนต์ที่สามารถยุบตัวได้ (Deformable Barrier) เคลื่อนที่พุ่งเข้าชนรถยนต์ทดสอบซึ่งจอดอยู่นิ่ง ในแนวตั้งฉากด้านข้าง (ด้านผู้ขับขี่) ด้วยความเร็ว 50 กม./ชม. ภายหลังการชน จะมีการตรวจสอบดังนี้
สภาพของหุ่นจำลอง (ผู้ขับขี่) ได้แก่ การบาดเจ็บที่หัว ,การบาดเจ็บที่หน้าอก, Soft Tissue Criterion, แรงกดหน้าท้อง และแรงกดที่หัวหน่าว ดังนี้
เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถจำแนกหรือทราบรายละเอียดการประหยัดพลังงานของรถแต่ละคันได้ง่ายขึ้น กระทรวงอุตสาหกรรม (สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และสถาบันยานยนต์) กระทรวงการคลัง (กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร) และสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ไทย และผู้ผลิต/ผู้นำเข้ารถยนต์รายบริษัท ได้ร่วมหารือเพื่อกำหนดแนวทางการแสดงค่า CO2 และความต้องการใช้งานระบบป้ายข้อมูลรถยนต์ โดยกระทรวงได้ร่วมมือกับ iNET พัฒนาระบบป้ายข้อมูลรถยนต์ให้เป็น Cloud Based Application อย่างสมบูรณ์แบบ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ผลิตรถยนต์ ตั้งแต่ส่วนของการลงทะเบียนของผู้ประกอบการ การลงทะเบียนรถยนต์ จนถึงการสร้าง ECO Sticker เพื่อติดแสดงบนรถยนต์ทุกคัน ระบบป้ายข้อมูลรถยนต์ “ECO Sticker” จึงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2558 โดยที่กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือเพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้รถยนต์อย่างยั่งยืน (Sustainable Mobility) ด้วยกลไก ECO Sticker และภาษี CO2
ดูเพิ่มเติม
>> ส่อง 4 รถระดับ “ICON” จาก Honda ในงาน Motor Expo 2018 ที่คุณต้องไม่พลาดชม !
>> ส่อง 3 กระบะ “เบอร์รอง” แต่ความปลอดภัย “ดีที่สุด” บนถนนเมืองไทย
Nissan มี Eco Car ที่ขายดีระดับต้นๆ ของประเทศนับตั้งแต่ผลิตรถตามมาตรฐานรุ่น 1
Eco Car รุ่น 1 ที่ผ่านมีอัตราการใช้เชื้อเพลิงตามมาตรฐาน (5.0) มีดังนี้ *อ้างอิงจากฐานข้อมูลของกระทรวง*
Eco Car แพ็คคู่ของ Mitsubishi เพื่อชีวิตคนในเมือง
Eco Car รุ่น 2 ที่ผ่านมีอัตราการใช้เชื้อเพลิงตามมาตรฐาน (4.3) มีดังนี้ *อ้างอิงจากฐานข้อมูลของกระทรวง*
Source: เรียบเรียงข้อมูลจากกระทรวงอุตสาหกรรม
ดูเพิ่มเติม
>> ข้อดีข้อด้อย ก่อนออก “อีโคคาร์”
>> ประเภทของรถยนต์มีแบบไหนบ้างนะ?