คงต้องยอมรับว่ารถยนต์ที่เราใช้ๆกันทุกวันนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจก คนใช้รถอย่างเราก็ทำได้แค่ใช้อย่างประหยัดเท่าที่จำเป็นแต่ในระดับผู้ผลิตหรือระดับประเทศเขามีแนวคิดที่จะช่วยลดโลกร้อนกันบ้างไหม
ทวีปที่หนาวเย็นที่สุดในโลกคือทวีปแอนตาร์กติกา ทวีปนี้ตั้งอยู่ใต้สุดของโลกเรา มันคือที่ตั้งของขั้วโลกใต้ด้วย นาย John Davis เป็นบุคคลที่อ้างว่าเป็นคนแรกที่ได้ค้นพบทวีปนี้ตั้งแต่ปี 1821 แต่ก็ยังมีการถกเถียงถึงหลักฐานที่ชัดเจนว่าเป็นอย่างไร ทวีปนี้มีพื้นที่กว้างมาก เพราะมันมีพื้นที่ถึง 14 ล้านตารางกิโลเมตร นั่นหมายความว่ามันใหญ่กว่าประเทศออสเตรเลียถึงประมาณ 2 เท่า สิ่งที่น่าสนใจอีกสิ่งหนึ่งก็คือทวีปนี้มีน้ำแข็งปกคุลมทั่วทั้งทวีปประมาณ 98% ของพื้นที่ทั้งหมด และน้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่นั้นมีความหนาเฉลี่ยประมาณ 1.9 กิโลเมตร ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิด น้ำแข็งหนาเป็นกิโลเมตรเลย มันมีอุณหภูมิติดลบเกือบตลอดเวลา นักวิทยาศาสตร์ได้ลองคำนวณว่าหากน้ำแข็งของทวีปนี้ละลายลงทั้งหมดน้ำทะเลทั่วทั้งโลกจะมีระดับน้ำสูงขึ้นประมาณ 60เมตรก็สูงราวๆตึก10ชั้นได้ สิ่งมีชีวิตในทวีปนี้ที่อาศัยอยู่ได้จะเป็นพวกสาหร่าย แบคทีเรีย เห็ด รา สัตว์ตัวเล็กๆบางชนิด ส่วนสัตว์ตัวใหญ่หน่อยก็จะเป็นเพนกวิน ส่วนหมีขาวที่เราเห็นๆกันนั้นมันมีเฉพาะที่ขั้วโลกเหนือ แล้วมนุษย์มีไปอาศัยอยู่บ้างไหม มีครับ ประมาณ 1,000-5,000คน โดยไปทำวิจัยในสถานีวิจัยที่มีกระจายอยู่ทั่วทั้งทวีป พวกเราเห็นว่าทวีปนี้เป็นทวีปที่ไม่น่าจะอาศัยอยู่ได้ ยิ่งถ้าไม่นับเรื่องการวิจัยก็ไม่น่าจะมีคนอาศัยอยู่ด้วย แต่ก็ยังมีการอ้างสิทธิ์ของดินแดนแห่งนี้โดยประเทศต่างๆ7ประเทศ เหลือพื้นที่ส่วนที่ยังไม่มีคนอ้างสิทธิ์ครอบครองอีกนิดหน่อย
ทวีปแอนตาร์กติกามีส่วนที่ยังไม่มีคนครอบครองคือส่วนสีขาว
ถึงแม้จะหนาวจัดแต่ก็มีนักท่องเที่ยวและนักวิจัยในทวีปแอนตาร์กติกา
หนาวแบบนี้น้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกาละลายไหม
พูดกันตรงๆคือเราเลยจุดที่จะถามว่าละลายไหมมาแล้ว แต่ต้องถามว่าละลายด้วยอัตราความเร็วแบบปัจจุบันนี้อันตรายไหม สัดส่วนของแผ่นน้ำแข็งในทวีปแอนตาร์กติกาที่ละลายไปตั้งแต่ช่วงปี1992-2017คือ 3ล้านล้านตัน ซึ่งจำนวนนี้ทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้นประมาณ 8 มิลลิเมตร ฟังดูแล้วเหมือนจะเล็กน้อยมากๆแค่8มิลลิเมตร แต่นักวิทยาศาสตร์ไม่คิดเช่นนั้นเพราะมันส่งผลกระทบต่อโลกเราอย่างใหญ่หลวง
ดูเพิ่มเติม
>> ด้านมืดของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า
>> อังกฤษเตรียมแบน รถเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล ไม่เกินปี 2040
รูปสถานที่เดิมแต่น้ำแข็งหายไปมากแล้ว
น้ำแข็งละลายแล้วไง
ดูเผิๆนเหมือนจะแค่น้ำแข็งละลาย แต่ในทางฟิสิกส์มันมีความเกี่ยวโยกกันระดับภูมิศาสตร์ระหว่างทะเลและสภาพอากาศ มันคือภาวะโลกร้อน (Global Warming) น้ำแข็งละลายได้แสดงว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น นั่นคือน้ำทะเลก็มีอุณหภูมิสูงขึ้นด้วย น้ำแข็งที่ติดกับทะเลก็ละลายได้ง่ายขึ้น ละลายแล้วน้ำทะเลทั่วทั้งโลกก็มีระดับสูงขึ้น บ้านเรือนต่างๆที่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลก็มีโอกาสที่จะเกิดอุทกภัยง่ายขึ้น ปะการังต่างๆที่ไม่สามารถทนต่อระดับอุณหภูมิที่สูงขึ้นได้ก็จะพังทลาย ทำให้ระบบนิเวศน์วิทยาเสียหาย ชายฝั่งถูกน้ำกัดเซาะมากขึ้นเพราะไม่มีปะการังคอยชะลอแรงของคลื่นน้ำ อุณหภูมิโลกสูงขึ้นทำให้แมลงมีโอกาสรอดตายมากขึ้นทำให้เกิดเชื้อโรคจากแมลงได้มากขึ้น (ปกติที่ที่อากาศหนาวแมลงจะไม่มีเพราะไม่สามารถอาศัยอยู่ได้) นี่แค่เบาๆยังเยอะแบบนี้แล้วถ้าโลกร้อนขึ้นมาจริงๆจะเป็นอย่างไร
ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นเมื่อน้ำแข็งละลาย
เกี่ยวกับอะไรกับอุตสาหกรรมรถยนต์
เชื้อเพลิงทั้งหลายที่มนุษย์ใช้ในการเผาไหม้เพื่อให้เกิดกำลังในรถยนต์ย่อมสร้างไอเสีย ไอเสียนั้นมีส่วนประกอบหลักของก๊าซเรือนกระจกที่จะทำให้โลกของเราร้อนขึ้นในทุกปีที่ผ่านไปชนิดที่เรียกว่าถ้ายังใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงกันต่อไปเรื่อยๆยังไงก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารถยนต์เป็นปัจจัยหนึ่งของภาวะโลกร้อน โลกเราทุกวันนี้ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ4พันล้านตันต่อปี และในทุกๆ1กิโลกรัมของน้ำมันเชื้อเพลิงทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ราวๆ 3กิโลกรัม นั่นหมายความว่าทุกปีจะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิดขึ้นราว3พันล้านตัน นี่เฉพาะแค่จากน้ำมันเชื้อเพลิงนะครับ และอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากที่สุดก็มาจากรถยนต์นี่เอง “ก็ของมันต้องใช้” จะให้ทำอย่างไร
อุตสาหกรรมรถยนต์รวมไปถึงรถยนต์นับเป็นเหตุผลสำคัญของภาวะโลกร้อน
อุตสาหกรรมรถยนต์มีแนวคิดอะไรเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนบ้าง
ตอบคำถามนี้แบบสั้นๆให้ดูโลกสวยก็คือ บรรดาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ทั่วทั้งโลกเห็นถึงความสำคัญต่อปัญหาสภาวะโลกร้อน เพราะเขาเองก็อาศัยอยู่ในโลกใบเดียวกับลูกค้า ผู้ผลิตต่างๆก็ยอมรับในนโยบายของการลดก๊าซเรือนกระจกโดยการมุ่งหน้าที่จะพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีการเผาไหม้จนเกิดก๊าซเรือนกระจกให้น้อยที่สุด อีกมุมหนึ่งก็คือค้นหาพลังงานสะอาดที่สามารถนำมาใช้กับรถยนต์ได้อย่างยั่งยืน คำตอบนี้เป็นรูปธรรมแล้วหลังจากได้มีการลงนามร่วมกันในฉันทามติลดก๊าซคอร์บอนจากผู้นำของค่ายรถยนต์แต่ละค่ายทั่วโลก ซีอีโอของค่ายรถยนต์เช่น GM, Ford, Fiat Chrysler, Nissan-Renault, Volvo, Beijing Automotive Gropu, India' Mahindra และซัพพลายเออร์เจ้าใหญ่ๆที่เกี่ยวข้องได้ทำฉันทามติร่วมกัน (ยังไม่ถึงกับเป็นสัญญา) ที่จะช่วยลดก๊าซคาร์บอนในอากาศโดยมีการยืนยันกันดังนี้
- พัฒนาการเผาไหม้ในเครื่องยนต์ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่เครื่องยนต์แต่รวมไปถึงระบบส่งกำลังต่างๆ ประสิทธิภาพโดยรวมของระบบกำลังทั้งหมดเพราะถ้าทำแบบนั้นได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็จะถูกปล่อยออกมาน้อยลงในการวิ่งระยะทางเท่าเดิมเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์รุ่นเก่าๆ
- เห็นชอบในนโยบายการลดก๊าซเรือนกระจกไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ๆที่ช่วยได้ หรือนโยบายการกระจายตัวของเมืองไปสู่ชนบท
- ค้นหาเทคโนโลยีใหม่ๆที่จะมาทดแทนการเผาไหม้
Elon Musk ก็ยังให้ความสำคัญกับปัญหาภาวะโลกร้อน
ถึงแม้ในโลกแห่งการค้าทุกค่ายจะเป็นคู่แข่งกันแต่โลกแห่งความเป็นจริงทุกคนคือมนุษยชาติเดียวกันการร่วมมือกันครั้งนี้จึงมีส่วนสำคัญมากสำหรับนโยบายการลดภาวะโลกร้อนในระดับโลก ในระดับประเทศก็มีการทำสัญญากันจริงๆจังเกี่ยวกับเรื่องปัญหาโลกร้อนโดยรู้จักกันในนาม “ข้อตกลงปารีส” ซึ่งผู้นำประเทศจะเป็นคนกลางเชื่อมแต่ละประเทศเข้าด้วยกัน นั่นไม่ใช่แค่เรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์แต่หมายรวมถึงทุกกิจกรรมที่เกี่ยวกับภาวะโลกร้อน
บริษัทรถยนต์ทั้งหลายไม่ต้องสนใจเรื่องปัญหาโลกร้อนได้ไหม
จริงๆทุกคนก็ใช้รถยนต์กันอยู่ไม่ว่าทางตรงก็ทางอ้อมหรือต่อให้ยังไม่เคยใช้ สักวันก็คงได้ใช้ แล้วจะมาเรียกร้องให้บริษัทต่างๆต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อลดภาวะโลกร้อนจากไอเสียในรถยนต์ที่คุณๆก็ใช้กัน มันไม่แปลกหรือ? เรื่องนี้ก็ตอบยากและคงไม่มีอะไรมาแบ่งเส้นกันอย่างชัดเจนว่าอะไรผิดอะไรถูก อย่างไรก็ตามบริษัทรถยนต์ก็ยังอยากเดินหน้าช่วยเรื่องโลกร้อนอยู่ดี เพราะว่า นักลงทุนต่างๆเขาขอมา โดยพูดว่าผู้ที่ทำธุรกิจในอุตสาหกรรมรถยนต์จำเป็นต้องเตรียมพร้อมสำหรับการสร้างรถยนต์ไปพร้อมๆกับสังคมที่มีคาร์บอนต่ำลง เพราะถ้าไม่ทำ ฉันจะไม่สนับสนุนเงินในการลงทุนอีกต่อไป และต้องทำอย่างเป็นรูปธรรมในระดับนโยบาย ส่วนใหญ่ที่คิดแบบนี้จะเป็นนักลงทุนในระยะยาว และก็มีเป็นในรูปแบบองค์กรด้วยชื่อว่า Institutional Investors Group on Climate Change (IIGCC)
เพราะบริษัทรถยนต์ต่างๆใส่ใจเรื่องโลกร้อนเราจึงมีรถยนต์ไฟฟ้า
เห็นแบบนี้ชาว Chobrod คงพอจะเบาใจไปได้ในระดับหนึ่งนะครับว่า เมื่อวันที่เราแก่ตัวลงอากาศดีๆบริสุทธิ์ๆและสภาวะโลกร้อนจะยังไม่มาคุกคามพวกเราในตอนนั้น ไม่ใช่ว่าเป็นผู้ผลิตรถยนต์แล้วจะปู้ยี่ปู้ยำกับสิ่งแวดล้อมโลกยังไงก็ได้พร้อมกับกอบโกยผลกำไรอย่างเดียว หากเป็นแบบนั้นจริงคนตัวเล็กๆอย่างเราจะยอมหรือ ถึงเราจะยอมให้เป็นแบบนั้นต้องมีกลุ่มคนสักกลุ่มในโลกไม่ยอมแน่นอน เรื่องนี้ยังไงก็ทำคนเดียวไม่ได้แน่ๆ การสามัคคีกัน ร่วมกันใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าในสังคมเล็กๆอย่างประเทศไทยก่อนก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการลดภาวะโลกร้อนลงได้นะครับ
ดูเพิ่มเติม
>> รถยนต์ไฟฟ้า 3 รุ่นเด็ด เตรียมเข้ามาขายในไทยแล้ว คาดเปิดตัวปีหน้า เตรียมเงินรอไว้ได้เลย
>> GM เปิดตัวรถไฟฟ้าที่ราคาถูกที่สุดสำหรับคนจีนเท่านั้น!
ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่
อ่านรีวิวรายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์ เชิญที่นี่