Five Fact : 5 จุดการเปลี่ยนแปลงน่าสนใจใน Ford Ranger Wildtrak ไมเนอร์เชนจ์ 2018

ประสบการณ์ซื้อขายรถยนต์ | 17 ก.ค 2561
แชร์ 2

เมื่อการไมเนอร์เชนจ์อีกครั้งหนึ่งของกระบะรุ่นยอดนิยมในไทยอย่าง Ford Ranger ถูกจับตามองมากขึ้นที่ด้วยความคาดหวังจากผู้ซื้อในเรื่องของความแปลงแปลง ที่มากกว่าแค่แต่งหน้าทาปาก แล้วมาบอกว่า All-New ทั้งที่หน้าตาเปลี่ยนไปแค่เล็กน้อย แต่สำหรับ Ford Ranger ไมเนอร์เชนจ์ 2018 มีใหม่เพิ่มขึ้นมาที่มากกว่านั้น

Five Fact : 5 จุดการเปลี่ยนแปลงน่าสนใจใน Ford Ranger Wildtrak ไมเนอร์เชนจ์ 2018

Five Fact : 5 จุดการเปลี่ยนแปลงน่าสนใจใน Ford Ranger Wildtrak ไมเนอร์เชนจ์ 2018 

ว่าด้วย Ford Ranger Minorchange 2018 กับรุ่น Wildtrak 2.0 Bi-Turbo 4×4 Double Cab ที่ถือเป็นรุ่นท็อปสุดในคลาส Ranger ขับสี่รุ่นปกติ ไม่ใช่รุ่นสมรรถนะสูงอย่าง Ranger Raptor กับการมาใหม่ในครั้งนี้จะมีอะไรบ้างที่น่าสนใจ Chobrod Five Fact จะพาคุณไปดูพร้อมๆ กันได้เลย 

ดูเพิ่มเติม
>> 
มีอะไรดีใน Ford Everest ไมเนอร์เชนจ์ กับความเป็น PPV ราคาแพงที่สุด?
>> เจอกันกรกฎานี้! กับ Ford Ranger ไมเนอร์เชนจ์ 2018 พร้อมเครื่องยนต์ดีเซลใหม่ EcoBlue

1.กระบะขับสี่บ้าพลัง 
กับรหัสรุ่น Wildtrak 2.0 Bi-Turbo ถ้าเป็นแฟนของกระบะค่ายนี้ น่าจะรู้กันดีว่า ขุมกำลังของ Wildtrak จากเดิมที่ใช้เป็นเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 3.2L ถูกนำออกไป และแทนที่ด้วยเครื่องยนต์ใหม่ ตัวเดียวกับรุ่นที่เป็นไฮไลท์สำคัญในปีนี้ของ Ford อย่างในรุ่น Ranger Raptor กับเครื่องยนต์ดีเซล EcoBlue TDCi 4 สูบแถวเรียง ที่มากับเทอร์โบคู่ ขนาด 2.0L ให้กำลังม้าอยู่ที่ 213 แรงม้า ที่ 3,750 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 500 Nm ที่ 1,750 รอบต่อนาที พร้อมเกียร์ลูกใหม่แบบอัตโนมัติ 10 Speed และ Manual Mode ให้ใช้แบบกดปุ่ม +,- เป็นระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ Part-Time เฟืองท้ายเป็นแบบ Locking Rear Differential หน้าเป็นดิสก์เบรก-หลังเป็นดรัมเบรก

เมื่อมองที่ตัวเลขของแรงม้าแล้ว ก็จะทำให้ Wildtrak คันนี้เป็นรถขับเคลื่อนสี่ล้อที่พละกำลังสูงที่สุดหนีคู่แข่งขับสี่ค่ายอื่นๆ ไปอีก จากก่อนหน้าที่เครื่องยนต์ 3.2L ก็มีแรงม้าสูงที่สุดในตลาดอยู่แล้วที่ 200 แรงม้า มาตอนนี้ที่เครื่องยนต์ยนต์เล็กลงพร้อมเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกเพียบ ทำให้แรงม้าเพิ่มมาอยู่ที่ 213 ตัว คงไม่ผิดที่จะบอกว่า Wildtrak คันนี้เป็นกระบะขับสี่บ้าพลังคันหนึ่งได้ 

เครื่องยนต์ใหม่ บ้าพลังแบบ Ranger Raptor อย่างแท้จริง

เครื่องยนต์ใหม่ บ้าพลังแบบ Ranger Raptor อย่างแท้จริง

ไปเปรียบเทียบแรงม้ากับราคาของรถขับเคลื่อนสี่ล้อแต่ละค่ายกันดู 
1.Ford Ranger Wildtrak ราคา 1,265,000 บาท แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 213 แรงม้า 
2.Nissan Navara SPORTECH ราคา 1,106,000 บาท แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 190 แรงม้า 
3.Mitsubishi Triton Athlete ราคา 1,140,000 บาท แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 181 แรงม้า
4.Toyota Hilux ROCCO ราคา 1,189,000 บาท แรงม้าสูงสุด 177 แรงม้า
5.Isuzu V-Cross ราคา 1,099,000 บาท แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 177 แรงม้า

2.ภายนอกที่เปลี่ยนไป (เพียงเล็กน้อย)
Ford Ranger Wildtrak จะได้กระจังหน้าที่มากับดีไซน์ใหม่เป็นสีดำที่ดูอ่อนโยนขึ้นกับลวดลายภายในกระจัง ทรงคล้ายกับเวอร์ชั่นจำหน่ายในอเมริกา ขนาบข้างด้วยไฟหน้าดีไซน์ใหม่ที่ต่างจากเดิมเล็กน้อยเท่านั้น แต่มีการเพิ่มไฟวิ่งกลางวัน DRL แบบ LED เข้ามา พร้อมระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ Auto High Beam Control มองลงมาที่ด้านล่างจะได้กันชนดีไซน์ใหม่ด้วยเช่นกัน ที่เวอร์ชั่นการไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้ จะมีกรอบของไฟตัดหมอกที่เป็นแบบ LED มาให้ด้วย จากที่ก่อนหน้าเป็นแค่ตัวไฟโดดๆ ธรรมดาเท่านั้น

นอกนั้นแล้วที่ด้านข้างและด้านหลังไม่ได้มีการเปลี่ยนแลงอะไรมากมายนัก เพียงแค่สติกเกอร์ “4x4” ที่ดีไซน์ดูแปลกตาออกไป และสติ๊กเกอร์ “Ranger” ปรับแต่งเพิ่มนิดหน่อยตัวอักษรใหญ่ขึ้น ส่วนคำว่า “Wildtrak” ยังคงไว้ซึ่งลักษณะเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดให้คนยังจำได้กับตัวแทนสัญลักษณ์ของกระบะขาลุย 

3. ความปลอดภัยสูงสุดในคลาส 
จากที่เวอร์ชั่นก่อนหน้า Ranger ก็ถือว่าเป็นกระบะรุ่นหนึ่งที่ในเรื่องความปลอดภัยนั้นโดดเด่นที่สุดในคลาสอยู่แล้วจากเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่อัจฉริยะ มาที่การไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้กับรุ่นของ Wildtrak ยังได้มีการเพิ่มระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ Autonomous Emergency Braking หรือ AEB เข้ามาด้วย เหมือนเช่น Everest ไมเนอร์เชนจ์ที่เพิ่งถูกเพิ่มมาใหม่เช่นกัน หลังจากเปิดตัวเมื่อล่าสุด ซึ่งระบบ AEB นี้ทำงานผ่านกับเรดาห์ และกล้องหน้ารถเพื่อใช้ในการตรวจจับวัตถุ ที่อยู่ด้านหน้ารถ ทั้งรถที่อยู่ข้างหน้า หรือคนเดินถนน และจะเริ่มทำงานเมื่อตัวรถมีความเร็วมากกว่า 3.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งแตกต่างจากความปลอดภัยเดิมที่มีอยู่ Forward Collision Warning System ที่จะช่วยแค่เตือนผู้ขับขี่เท่านั้น ไม่ได้ช่วยเบรก และการมาใหม่ในระบบความปลอดภัยนี้จะช่วยทำให้ Ranger ไมเนอร์เชนจ์ 2018 คันนี้ มีความปลอดภัยที่สูงยิ่งขึ้นจากเดิมที่ความปลอดภัยก็เหนือกว่ากระบะค่ายหัวหลายๆ รุ่นอยู่แล้ว  

Autonomous Emergency Braking หรือ AEB จะช่วยเบรกมากกว่าแค่การเตือน ธรรมดา

Autonomous Emergency Braking หรือ AEB จะช่วยเบรกมากกว่าแค่การเตือน ธรรมดา

ความปลอดภัยจากระบบช่วยขับขี่เดิมที่มีอยู่ใน Ranger 

  • ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control)
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System)
  • ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System)
  • ระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System) 

4.สีตัวถังภายนอก “ส้ม Pride Orange” ในโทนสีที่อ่อนลง
หลายคนน่าจะคุ้นกับความเป็น Ranger Wildtrak ด้วยสีที่ใช้ในการโปรโมทเปิดตัวนั้น ทุกครั้งจะมาพร้อมกับสีส้ม ตั้งแต่เแรกเริ่มที่แนะนำรุ่นนี้ และเช่นกันที่การไมเนอร์เชนจ์ครั้งที่สองนี้ Wildtrak ก็จะใช้เป็นสีใหม่ด้วยสีส้มที่โทนสีอ่อนลงจากเดิม  

ยังคงใช้สีส้มเป็นสีโปรโมทเช่นเดิม แต่โทนสีอ่อนลงกว่าเวอร์ชั่นก่อน

ยังคงใช้สีส้มเป็นสีโปรโมทเช่นเดิม แต่โทนสีอ่อนลงกว่าเวอร์ชั่นก่อน 

ส่วนในเรื่องของการตกแต่งภายในห้องโดยสาร จะปรับมาเป็นโทนเดียวคือสีดำ ที่จากเดิมจะใช้สีส้มเข้ามาตกแต่งมากกว่า แต่ไมเนอร์เชนจ์เวอร์ชั่นนี้จะใช้แค่ด้ายสีส้มเดินตะเข็บตามจุดต่างๆ ของอุปกรณ์ภายในห้องโดยสาร ไม่ว่าจะเป็นที่ตัวเบาะ ทั้งหน้าหลัง ที่ใช้เป็นเบาะหนังผสมผ้าแล้วเดินตะเข็บด้ายสีส้ม, แผงแดชบอร์ด, พวงมาลัย และหัวเกียร์ทรงใหม่ ก็ต่างตกแต่งด้วยการเดินตะเข็บด้ายสีส้มสวยๆ ไว้แทบทั้งสิ้น 

5. ครบทุกออพชั่นความสะดวกสบาย 
ความสะดวกสบายต่างๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามาอย่างหน้าสนใจในการมาใหม่ของ Ranger ในครั้งนี้ ที่จะไม่พูดไม่ได้เลยคือระบบผ่อนแรงฝาท้ายกระบะ  Easy Lift Tailgate ที่ทำให้การเปิด-ปิดฝาท้ายกระบะ ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น ช่วยให้ไม่ต้องออกแรงเยอะๆ เวลาจะปิดฝาท้ายหรือเวลาจะเปิดก็ไม่ต้องระวังว่ามันจะหล่นมากะทันหัน เพราะระบบ Easy Lift Tailgate นี้ช่วยผ่อนแรงในจังหวะต่างๆ ไว้ให้หมดแล้ว 

และยังมีเพิ่มเข้ามาในระบบตัดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร Active Noise Cancellation และระบบช่วยจอด Active Parking Assist แบบที่อยู่ใน Everest รวมไปถึงอีกจุดไฮไลท์สำคัญที่เหล่าแฟนๆ ต่างเรียกร้องให้มีอยู่ในรุ่นนี้ ก็มาได้สักทีอย่างระบบ Smart Keyless Entry และ Push Start Button มาอยู่แล้วใน Ford Ranger Wildtrak ไมเนอร์เชนจ์ 2018 เวอร์ชั่นนี้ ซึ่งดูแล้วเหมือนจะดีหมด ครบทุกอ๊อพชั่นที่หลายคนอยากให้มี แต่น่าเสียดายที่เบาะหน้า ยังไม่ใช่แบบปรับไฟฟ้าได้ทั้งคู่ ให้มาแต่ฝั่งคนขับเท่านั้นที่ปรับได้แบบไฟฟ้า 

ดูเพิ่มเติม
>> 
Ford Ranger 3.2 Wildtrak 4X4 กระบะพรีเมี่ยมน่าใช้ไม่ต่างรถซีดาน
​>> 10 ข่าวเด่นประจำสัปดาห์ วันที่ 6 ก.ค.- 13 ก.ค. 2018

Push Start Button มาอยู่แล้วใน Ford Ranger Wildtrak ไมเนอร์เชนจ์ 2018

Push Start Button มาอยู่แล้วใน Ford Ranger Wildtrak ไมเนอร์เชนจ์ 2018

และทั้งหมดนี้ก็คือ 5 จุดที่น่าสนใจในการมาใหม่ของ Ford Ranger Wildtrak ไมเนอร์เชนจ์ 2018 ตัวท็อปสุดขับสี่ที่ราคา 1,265,000 บาท ส่วนรุ่นย่อยอื่นๆ ที่ราคาต่ำลงมาจะมีรายละเอียดแตกต่างกับคันนี้มากแค่ไหน ถูกตัดอุปกรณ์อะไรไปบ้าง ต้องรอติดตามการเปิดตัวจริงๆ พร้อมเผยสเปคทั้งหมดได้ที่นี่ Chobrod.com ซึ่งเราจะนำมาฝากคุณแน่นอนเร็วๆ นี้ 

และอย่าลืมบอกกับเราสักหน่อยว่าในการไมเนอร์เชนจ์ของ Ford Ranger 2018 นี้ จุดไหนที่คุณชอบหรือที่คุณไม่ชอบ มีอะไรบ้าง และเพราะอะไร ใต้คอมเม้นท์ด้านล่างนี้ได้เลย 

ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่  
ค้นหาข้อมูลรายละเอียดสามารถเข้าดูวีวิวรถ เชิญที่นี่