ภาพและรายละเอียดของความใหม่ใน Ford Everest ไมเนอร์เชนจ์ปี 2018 ถูกเผยออกมาแล้ว พร้อมกับราคา ที่ดันให้ Everest กลายเป็น PPV ที่ราคาแพงที่สุดในไทย ณ ขณะปัจจุบัน แม้จะไม่ใช่รถ PPV อันดับหนึ่งขายดีที่สุด แต่ “กล้า” ที่จะมากับราคาตัวท็อปเกรดแพงสุดที่ 1.8 ล้านบาทมีทอนให้พัน อะไรที่น่าสนใจในรถคันนี้ Chobrod จะมาบอกกับคุณ
มีอะไรดีใน Ford Everest ไมเนอร์เชนจ์ กับความเป็น PPV ราคาแพงที่สุด?
เมื่อมองราคาของ PPV น้ำดีพิมพ์นิยมบนถนนเมืองไทยตอนนี้ (07/2018) จะเห็นว่า การมาของ Everest ไมเนอร์เชนจ์ 2018 ที่เปลี่ยนแปลงมากกว่าแค่การไมเนอร์เชนจ์ธรรมดา กับจุดไฮไลท์สำคัญคือเรื่องขุมกำลังใหม่หมดในทุกรุ่นย่อย กับเครื่องยนต์เทคโนโลยี EcoBlue และเกียร์อัตโนมัติทด “มันส์ๆ” ถึง 10 Speed แบบเดียวกับ Ranger Raptor ที่ไม่ใช่แค่ทำให้เรื่องเรี่ยวแรง และความสนุกในการขับขี่มีเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่เรื่องราคาก็เพิ่มสูงขึ้นด้วยจนกลายมาเป็น PPV ที่ราคาแพงที่สุดในตลาดอีกด้วย
ดูเพิ่มเติม
>> ยอดเขาแห่ง SUV ! สำรวจ Ford Everest 2018 ไมเนอร์เชนจ์
>> รถมือสองของดีนอกกระแส Ford Everest
สีใหม่ ทอง Diffused Silver Metallic ถูกนำมาใช้เป็นสีโปรโมทของการไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้
ไปดูราคาตัวท็อปแพงสุดในแต่ละรุ่นในคลาสรถ PPV เมืองไทยกัน
สองคู่แข่งสำคัญในตลาด PPV ของ Everest, Toyota Fortuner และ Mitsubishi Pajero Sport
เทียบกับตัวขับสี่ท็อปสุดทุกรุ่นจะเห็นว่าการมาใหม่ของ Ford Everest ไมเนอร์เชนจ์จะมีราคาสูงกว่ารุ่นอื่นๆ ที่จากเดิมจะเป็นเครื่องยนต์ 2 ขนาดให้เลือกทั้งแบบ 2.2L และ 3.2L แต่ตอนนี้เป็นไปตามคาด ที่เปลี่ยนมาเป็นแค่เครื่องยนต์ขนาดเดียว กับเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0L มีความต่างในเรื่องของลักษณะเทอร์โบและแรงม้าที่รีดออกมา โดยเครื่องยนต์ใหม่ใน Ford Everest ไมเนอร์เชนจ์ 2018 มีรายละเอียดดังนี้
Diesel 2.0 EcoBlue Turbo
เครื่องที่ออกมาเพื่อแทนที่รุ่นเครื่องยนต์ 2.2L เดิมกับเครื่องยนต์ดีเซล EcoBlue ใหม่! TDCi 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.0L พร้อมเทอร์โบ(1 ตัว) บวกการทำงานร่วมกับอินเตอร์คูลเลอร์ ขับเคลื่อน 2 ล้อหลัง ให้กำลังสูงสุดอยู่ที่ 180 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 420 Nm จับคู่การขับเคลื่อนด้วยเกียร์อัตโนมัติ 10 Speed พร้อม Manual Mode +,– ปรับได้ที่หัวเกียร์
Diesel 2.0 EcoBlue Bi-Turbo
แต่ถ้าอยากสุดกว่านั้นก็จะเป็นเครื่องยนต์ Bi-Turbo หรือเทอร์โบสองตัวที่ทำงานร่วมกัน ที่ถูกนำมาทำตลาดแทนรุ่นเครื่องยนต์สูงสุดเดิม 3.2L กับเครื่องยนต์ดีเซล EcoBlue TDCi 4 สูบแถวเรียง ขนาด 2.0L พ่วงการเพิ่มอัตราเร่งด้วยเทอร์โบคู่ที่ทำงานร่วมกัน ระหว่าง High-Pressure (HP Turbo) เทอร์โบแรงดันสูง และ Low-Pressure (LP Turbo) เทอร์โบแรงดันต่ำ ควบคุมผ่านวาล์ว Bypass รีดกำลังม้าสูงสุดได้ถึง 213 ตัว แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 500 Nm จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 Speed พร้อมเกียร์แบบ Manual Mode +,– ปรับได้หัวเกียร์เช่นกัน ส่วนระบบขับเคลื่อนจะเป็นแบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full-time 4WD ที่มีระบบ Terrain Management System (แบบเดียวกับที่อยู่ใน Ford Ranger Raptor)
เครื่องยนต์ใหม่หมดแบบ EcoBlue พร้อมเกียร์ทดได้มากถึง 10 Speed
โดยราคาขายของ Ford Everest ไมเนอร์เชนจ์ 2018 มีให้เลือกทั้งหมด 4 เกรดดังต่อไปนี้
หลายๆ คนที่เป็นแฟนรถค่ายนี้ น่าจะคุ้นกับรายละเอียดของสเปคเครื่องยนต์ในตัวท็อปสุด Diesel 2.0 EcoBlue “Bi-Turbo” กับแรงม้า 213 ตัว แรงบิด 500 Nm เกียร์อัตโนมัติ 10 Speed กันใช่ไหม เพราะมันคือเครื่อยนต์และเกียร์เดียวกับที่อยู่ใน Ford Ranger Raptor ที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นปี ส่วนรุ่นอื่นๆ รองลงมา ตัวเครื่องยนต์ถือว่าเปิดตัวครั้งแรก กับสเปคที่ตัดทอนแรงม้าไม่ให้เกินหน้าตัวท็อป จากลักษณะเทอร์โบแบบเดี่ยวและการปรับแต่ง ซึ่งมาภายใต้เทคโนโลยี EcoBlue เช่นกัน ในเรื่องช่วงล่างไม่ได้มีการปรับแต่ให้โหด ดิบ เถื่อนอย่าง Ranger Raptor แต่อย่างใด ยังคงใช้เป็นช่วงล่างแบบเดิม ที่ด้านหน้าเป็นแบบ Double Wishbone with Coil Spring – Anti Roll bar และด้านหลังเป็นแบบ Coil Spring with Watt’s Link – Anti Roll bar พร้อมดิสก์เบรกทั้งสี่ล้อ
ต่อมาที่ความเปลี่ยนแปลงในด้านความปลอดภัยสำหรับ Everest ไมเนอร์เชนจ์กับระบบ Active Safety ในรุ่น Titanium+ จะมากับระบบตรวจจับรถและคนเดินถนนเพื่อช่วยเบรกอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking) เพิ่มเข้ามา ซึ่งระบบนี้จะใช้กล้องและเรดาห์ทำงานร่วมกันเพื่อจับหาวัตถุ สิ่งกีดขวางด้านหน้า ระบบจะทำงานเมื่อรถมีความเร็วเกินกว่า 3.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และแตกต่างจากเดิมกับระบบ Forward Collision Warning System ที่จะช่วยแค่เตือนผู้ขับขี่เท่านั้น แต่ระบบนี้จะช่วยเบรกด้วย
ระบบ Autonomous Emergency Braking
นอกจากนี้ระบบความปลอดภัยอื่นๆ เดิม ก็ยังให้อยู่ครบ ที่น่าสนใจได้แก่
อีกจุดที่น่าสนใจคือระบบเปิด-ปิด ฝาท้ายด้วยการ “เตะเปิด” ไม่ต้องใช้มือ Hands-Free Tailgate แบบในรถยุโรปที่หลายคนอาจเคยเห็นกันมาบ้าง แม้มือทั้งสองข้างจะไม่ว่าง ถือของอยู่ เพียงยื่นขาเข้าไปใต้ท้องรถด้านหลัง ตัวฝาท้ายก็จะเปิดขึ้นมาอัตโนมัติด้วยไฟฟ้า เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งานได้มากยิ่งขึ้น
นอกนั้นที่ภายนอก ที่เด่นชัดคือความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ กับส่วนของหน้ากระจังและกันชนหน้า แบบเดียวกับที่เคยมีภาพหลุดออกมา กับล้อขนาด 20 นิ้วลายใหม่แบบก้านคู่ 6 ก้าน และสีใหม่ที่เพิ่มเข้ามากับสีทอง Diffused Silver Metallic ฝั่งของภายในคือการเพิ่มมาที่ออพชั่นการโทรฉุกเฉิน Emergency Assistance, ระบบกุญแจอัจฉริยะ Smart Keyless Entry, ปุ่ม Push Start Button และหัวเกียร์ทรงใหม่กับฐานเกียร์อานิสงส์จากตัวเกียร์ใหม่ที่เปลี่ยนมาเป็นแบบอัตโนมัติ 10 Speed
ดูเพิ่มเติม
>> มาอีก 3! กับรถใหม่น่าซื้อรอเปิดตัวภายในปี 2018
>> มาดู “เครื่องประดับ-ของตกแต่งรถยนต์เสริมฮวงจุ้ย” ในประเทศอาเซียน
ภายในไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก
แพงไปไหม? ถามใจดู กับ PPV ราคาแพงสุดตอนนี้ “ล้านแปดทอนพัน” Ford Everest ไมเนอร์เชนจ์ 2018 ถ้ามองที่รายละเอียด ก็ถือว่าให้มาขั้นสุดในทุกด้านของความเป็นรถ PPV ยุคนี้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ ความปลอดภัย ภายในอันหรูหรา ไม่แพ้เจ้าตลาดขายดีอย่าง Toyota Fortuner แต่อย่างใด สิ่งเดียวที่รถคันนี้จะสู้ไม่ได้ก็น่าจะเป็นแค่ “ป้ายโลโก้” ที่ติดอยู่หน้ารถเสียมากกว่าแค่นั้น
และอย่าลืม! บอกกับเรา Chobrod ด้วย ว่าอะไรใหม่ใน Ford Everest ไมเนอร์เชนจ์ 2018 ที่คุณชอบมากที่สุดในรุ่นนี้ และเพราะอะไร? คอมเม้นท์บอกเราที่ด้านล่างนี้ได้เลย รวมถึงติดตามข่าวสารด้านยานยนต์ที่มีอัพเดททุกวันได้ที่นี่ Chobrod.com
ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่
ค้นหาข้อมูลรายละเอียดสามารถเข้าดูวีวิวรถ เชิญที่นี่