ดูแลรถให้เป๊ะ หลังจากเดินทางไกล
ดูแลเครื่องยนต์ให้ปั๊วะ หลังจากเดินทางไกล !
>> 10 อะไหล่ต้องเปลี่ยนเมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนด
>> หมั่นตรวจเช็ครถด้วยตัวเอง แบบง่ายๆ จะได้ไม่ต้องเสียเงินซ่อมรถบ่อยๆ
หลังจากที่ตะลุยเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์มาแล้ว คราวนี้ล่ะถึงเวลาที่เราจะต้องมาดูแลรถสุดที่รักของเรากันบ้าน ว่ามีจุดบอดตรงไหนต้องดูแล ตรงไหนต้องเสริมหล่อเสริมสวยกันบ้าง วันนี้ Chobrod.com มีคำตอบมาฝากกันจ้ะ
1.ล้อรถ ควรเช็คทั้ง 4 ล้อ เพื่อดูให้แน่ใจว่ามีรอยบาดจากโลหะ หรือ ของมีคมต่างๆ ไหม ถ้ามีต้องรีบเอาเข้าอู่ด่วนเลยนะคะ ไม่เช่นนั้นจะเกิดอันตรายเอาได้
2.สีรถ คราบสกปรกต่างๆ เราก็ควรตรวจเช็คเช่นกันว่ามีอะไรผิดแปลกไปไหม สีถลอกหรือเปล่า เช่น มูลนก ฝุ่น เขม่า อาจจะทำให้รถเสีย แล้วตรวจดูให้แน่ว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่อย่างไร
3.เครื่องยนต์ส่วนต่างๆ ตรวจเช็คพวกน้ำมันหล่อลื่นต่างๆ ในห้องเครื่อง เช่น น้ำมันเบรก ว่าปริมาณลดลงไหม เพราะบางคนหยุดยาวที่ผ่านมาขับรถไปเที่ยวขึ้นเขาขึ้นดอย ต้องคอยเหยียบเบรกเกือบตลอดเวลาที่ขับรถเพื่อป้องกันไม่ให้รถไหล ซึ่งจะทำให้น้ำมันเบรกถูกใช้งานเยอะและอาจลดลงได้
4.น้ำมันเครื่อง ดูว่ายังมีอยู่ในระดับที่พอกับการใช้งานหรือเปล่า ถ้าระดับอยู่ระหว่าง F กับ L แสดงว่าระดับน้ำมันเครื่องปกติดีอยู่
5.น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ ก็ควรเช็คว่าอยู่ในขีดที่กำหนดไว้หรือเปล่า หรือมีรอยรั่วซึมตรงไหน
6.น้ำมันเกียร์ ก็สำคัญนะคะ เพราะถ้าระดับน้ำมันเกียร์ต่ำเกินไป การหล่อลื่นก็อาจจะไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดการเสียดสีของกลไกภายในเกียร์เพิ่มขึ้นได้
7.น้ำกลั่นแบตเตอรี่ ก็ตรวจเช็คว่ายังมีอยู่เต็มทุกช่องไม่ขาด
8.สายพาน ตรวจดูค่ะว่ามีรอยฉีกขาดตรงไหนหรือเปล่า หม้อน้ำ ให้ตรวจสอบระดับน้ำในหม้อพักน้ำด้วยว่ายังไม่หมด และควรทำในขณะที่เครื่องเย็นอยู่ สุดท้ายตรวจเช็คบริเวณใต้กระโปรงหน้ารถ ว่ามีรอยหยดของน้ำมันต่างๆ หรือเปล่า ถ้ามีแสดงว่าอุปกรณ์ในห้องเครื่องของรถคุณกำลังมีปัญหา ให้รีบเอาเข้าอู่เพื่อเช็คอย่างละเอียดอีกที
9.ระบบช่วงล่าง สามารถเช็คเบื้องต้นได้ด้วยตัวเองก่อนค่ะ เช่น ลูกหมากปีกนกบน-ล่าง และลูกหมากปลายแร็ค วิธีการเช็คคือ โยกล้อ ด้วยแม่แรงที่ติดมากับรถอยู่แล้ว ปรับความสูงของล้อให้อยู่ในแนวขนานกับอก จากนั้นให้ผลักและดึงล้อ วิธีนี้จะช่วยตรวจสภาพของลูกหมากได้ว่าหลวมหรือไม่
10.โช้คอัพ ทั้งข้างหน้าและข้างหลังของรถ ให้ตรวจดูว่ามีรอยรั่วของน้ำมันออกมาไหม
11.กระจกรถ การทำความสะอาดก็เหมือนที่ทำเป็นประจำ คือใช้น้ำเปล่าล้างเอาฝุ่นที่เกาะออกก่อน แล้วตามด้วยใช้น้ำยาเช็ดกระจกทำความสะอาดซ้ำอีกครั้ง และล้างด้วยน้ำเปล่าอีกรอบ จากนั้นใช้ผ้าแห้งนุ่มๆ เช็ดกระจกให้แห้ง อย่าให้มีรอยคราบน้ำ หรืออาจจะเคลือบสารป้องกันฝ้าหรือน้ำฝนบนกระจกตามก็ได้
12.เบาะนั่ง ต้องดูว่าวัสดุที่หุ้มเบาะเป็นชนิดไหน ถ้าเป็น เบาะหนังแท้ ตามปกติอาจแค่ใช้ผ้าเช็ดฝุ่นออก แต่หลังจากขับรถไปเที่ยวมาหลายวัน ต้องเจอฝุ่น ควัน ก็ควรที่จะใช้เครื่องดูดฝุ่นช่วยดูดฝุ่นที่เกาะอยู่บนเบาะ หรือฝุ่นตามซอกเบาะรถออกให้เรียบร้อย แล้วในการเช็ดทำความสะอาด จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับหนังโดยเฉพาะจะดีกว่า ส่วน เบาะหนังเทียมหรือไวนิล การทำความสะอาดไม่ยุ่งยาก เพราะมีความทนทาน แต่ก็ควรดูแลบ้าง ด้วยการใช้ผ้าชุบน้ำบิดให้หมาดๆ แล้วนำไปเช็ดให้ทั่วทั้งเบาะ แต่จะให้ดีควรใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดเอาเศษฝุ่น เศษทราย ตามซอก รอยพับ ออกด้วย ส่วนเบาะผ้า หากมีคราบสกปรกจากที่เครื่องดื่ม อาหาร หล่นใส่ ควรรีบทำความสะอาดให้เร็วที่สุด เพราะปล่อยทิ้งไว้จะฝังแน่น ยากต่อการทำความสะอาด โดยมีวิธีการคือ ให้ใช้น้ำอุ่นและน้ำยาทำความสะอาดขจัดรอยเปื้อน หลังจากนั้นควรแปรงผ้าอีกครั้งเพื่อรักษาสภาพของเบาะเพื่อยืดอายุการใช้งาน
13.ผ้าบุหลังคา คราบต่างๆ ให้ทำความสะอาดด้วยการใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำหมาดๆ แล้วเช็ดคราบออกให้สะอาด ถ้าหากมีฝุ่นเกาะก็อาจจะใช้เครื่องดูดฝุ่นหรือแปรงไฟฟ้าสถิตที่สามารถดูดฝุ่นละอองได้
14.พื้นรถ เช็คให้เรียบร้อยค่ะว่าไม่มีเศษขยะหล่นอยู่ที่พื้น หรืออยู่ใต้เบาะนั่ง เพราะบางทีอาจลืม ถุงขนม อาหาร ทิ้งไว้ พอบูดก็ส่งผลให้รถมีกลิ่นเหม็นได้ เพื่อให้พื้นรถสะอาดยิ่งขึ้น ควรนำเครื่องดูดฝุ่นมาดูดเอาพวกเศษดิน เศษทราย ออกให้เรียบร้อย
หลังจากที่เราได้รู้วิธีการดูแลรถกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลกันแล้วล่ะว่าเป็นอย่างไร ใครที่มีวิธีดีๆ อะไรจะแนะนำก็บอกกันมาได้เลยจ้ะ ไม่มีหวงกันอยู่แล้ว วันนี้ขอลาไปก่อนรอติดตามคอนเทนต์ใหม่กันได้เลยจ๊ะ สวัสดีจ้า
ดูเพิ่มเติม
>> วิธีขับรถประหยัดน้ำมัน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ในสภาวะค่าครองชีพสูง