10 อะไหล่ต้องเปลี่ยนเมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนด

ประสบการณ์ใช้รถ | 1 พ.ค 2561
แชร์ 46

หลายคนอาจคิดว่าถ้าหากอะไหล่ไม่พัง ก็ไม่ต้องเปลี่ยนก็ได้ ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ความคิดแบบนี้เป็นความคิดที่ผิดอย่างมาก เพราะการดูแลรักษารถยนต์จะต้องรักษาสม่ำเสมอ เพราะหากวันใดมันเกิดพังขึ้นมา อาจทำให้ปวดหัวมากเลยทีเดียว

การดูแลรักษารถยนต์ สำหรับบางคนอาจดูเป็นเรื่องจุกจิก  ซึ่งการดูแลรักษารถยนต์จะต้องทำอย่างสม่ำเสมอ และอะไหล่บางตัวเมื่อถึงระยะที่กำหนด ก็ควรเปลี่ยน เพื่อให้รถยนต์ของคุณอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานมากที่สุด นอกจากจะช่วยรักษารถแล้วยังช่วยให้เราปลอดภัยอีกด้วย อะไหล่ที่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ เปลี่ยนเป็นประจำเมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนด ได้แก่ 

1. น้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเครื่อง
อะไหล่นี้มีหน้าที่ช่วยหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ในเครื่องยนต์ เมื่อถึงระยะที่ 5,000 - 10,000 กิโลเมตร ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ทั้งนี้ระยะขึ้นอยู่กับประเภทน้ำมันที่ใช้ด้วย แต่ถ้าเราหากพบว่าน้ำมันเครื่องเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ก็ไม่ต้องรอให้ถึงระยะ สามารถเปลี่ยนได้เลย เพราะนั่นหมายความว่าน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพแล้ว

2. แบตเตอรี่
แบตเตอรี่ มีทั้งแบบแห้งและแบบเปียก ถ้าเป็นแบบแห้งนั้นไม่จำเป็นต้องดูแลอะไร แต่ราคาก็จะแพงกว่า ส่วนแบบเปียกที่มีราคาถูกกว่า ก็ต้องได้รับการดูแลมากกว่า โดยจะต้องคอยเติมน้ำกลั่นให้อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดเสมอ ควรเช็กอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง โดยอายุการใช้งานแบตเตอรี่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 2 - 3 ปี

 

ควรเช็คสภาพแบตเตอรี่อยู่สม่ำเสมอ

ควรเช็คสภาพแบตเตอรี่อยู่สม่ำเสมอ

3. ไส้กรองอากาศ
ชิ้นส่วนนี้ทำหน้าที่กรองสิ่งสกปรกในอากาศก่อนเข้าไปในเครื่องยนต์ ป้องกันสิ่งสกปรกเข้าไปในเครื่องยนต์ ซึ่งอาจทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้ไม่เต็มที่ โดยทุกๆ 3,000 - 5,000 กิโลเมตร ควรนำชิ้นส่วนนี้มาเป่าทำความสะอาด และควรเปลี่ยนใหม่เมื่อใช้ไปจนถึงระยะ 20,000 กิโลเมตร หรือ 1 ปี

4. ผ้าเบรก
ชิ้นส่วนสำคัญในการหยุดหรือห้ามล้อ ส่วนใหญ่ระยะที่ควรเปลี่ยนจะอยู่ที่ 50,000 - 70,000 กิโลเมตร แต่ถ้าเหยียบเบรกแล้วได้ยินเสียงดัง แสดงว่าถึงระยะเตือนแล้ว ให้เปลี่ยนผ้าเบรกทันที ไม่งั้นจานเบรกเป็นรอยแน่

ผ้าเบรคเป็นชิ้นส่วนสำคัญในการห้ามล้อ ซึ่งควรดูแลเข่นกัน

ผ้าเบรคเป็นชิ้นส่วนสำคัญในการห้ามล้อ ซึ่งควรดูแลเข่นกัน

5. หัวเทียน
ชิ้นส่วนหนึ่งของรถยนต์ที่ควรเปลี่ยนเมื่อถึงระยะประมาณ 40,000 กิโลเมตร ไม่ควรปล่อยให้มันเสื่อมสภาพ เพราะหากเสื่อม เครื่องยนต์จะทำงานได้ไม่เต็มที่ และอาจมีอาการสะดุดด้วย

ดูเพิ่มเติม
>>5 วิธีรับมือเมื่อรถเสียฉุกเฉิน
>>ซื้อใหม่เหอะ! กับ 4 สัญญาณเตือนจากรถ บอกกับคุณว่าควรซื้อรถใหม่ได้แล้ว

6. น้ำมันเกียร์ และไส้กรองน้ำมันเกียร์
หนึ่งในสิ่งที่ควรเปลี่ยนถ่ายเมื่อถึงระยะ 20,000 - 40,000 กิโลเมตร เพื่อช่วยยืดอายุการใช้งาน เนื่องจากเกียร์มีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา จึงทำให้สึกหรอและเสื่อมสภาพสูง

7. ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง
ส่วนที่คอยดักจับสิ่งสกปรกจากน้ำมันที่เติม ไม่ว่าจะเบนซิน และดีเซล ระยะเวลาที่ควรเปลี่ยนใหม่คือ 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร ซึ่งถ้าไส้กรองตัน จะทำให้รถสตาร์ทติดยาก เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น และมีกำลังส่งไม่พอ 

ควรตรวจเช็คไส้กรอง สม่ำเสมอเพื่อให้รถทำงานได้ประสิทธิภาพดี

ควรตรวจเช็คไส้กรอง สม่ำเสมอเพื่อให้รถทำงานได้ประสิทธิภาพดี

8. หลอดไฟ
หลายคนอาจคิดว่าไม่ต้องเช็กบ่อยก็ได้ แต่ความจริงแล้วเป็นหนึ่งที่สำคัญเช่นกัน ไม่ใช่แค่เฉพาะไฟหน้า ไฟท้ายเท่านั้น ไฟเลี้ยว ไฟตัดหมอก ไฟถอยหลัง หรือไฟอื่นๆ ก็ควรตรวจเช็กดูให้ดี หากไฟเสียหรือไม่ติดก็ควรเปลี่ยนทันที 

9. ที่ปัดน้ำฝน
ก่อนหน้าฝนจะมาเยือน เราควรเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝนให้เรียบร้อย เพราะที่ปัดน้ำฝนโดนแสงแดดมากที่สุด ซึ่งจะทำให้เสื่อมสภาพเร็วกว่าส่วนอื่น ทำให้ใบปัดแข็ง หรือปัดปัดน้ำออกได้ไม่หมด

10. สายพานไทม์มิ่ง
เรียกได้ว่าเป็นสายพานหลักของเครื่องยนต์บางรุ่น การเปลี่ยนใหม่ควรเปลี่ยนเมื่อใกล้ถึงระยะ 100,000 กิโลเมตร  เพราะหากสายพานขาดขึ้นมา แน่นอนว่าเครื่องยนต์ของคุณเสียหายรุนแรง 

และนี่คือข้อแนะนำสำหรับผู้ขับขี่ในการเปลี่ยนอะไหล่หรือชิ้นส่วนเมื่อถึงระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งหากเราหมั่นรักษาสภาพรถให้พร้อมใช้งาน นอกจากจะทำให้รถสามารถใช้ได้ไปนานๆแล้วก็ยังเป็นการช่วยลดอุบัติเหตุทางหนึ่งด้วย

ดูเพิ่มเติม
>>อยู่ด้วยกันยาวๆ! กับ 10 เคล็ดลับรักษาสภาพเครื่องยนต์รถคุณให้สมบูรณ์
>>เรื่องควรรู้ ประกันรถยนต์!!