มาดูกันหน่อยว่า... Ford everest 2018 รุ่นนี้มีดีอะไร ?

ประสบการณ์ใช้รถ | 27 ธ.ค 2561
แชร์ 0

หลังจากที่ได้เข้าไทยมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับ Ford Everest 2018 ต้องบอกก่อนว่ารุ่นนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปเยอะเหมือนกันอีกทั้งก็ยังได้รับความนิยมอย่างมากในบ้านเราอีกด้วย ทั้งนี้เดี๊ยนเลยอยากจะมีให้เพื่อนๆ ดูกันว่าเจ้ารถยนต์รุ่นนี้เขามีดีที่ตรงไหนบ้าง

 Ford Everest 2018
 

มาดูกันหน่อยว่า... Ford Everest 2018 รุ่นนี้มีดีอะไร ?

มาดูกันหน่อยว่า... Ford Everest 2018 รุ่นนี้มีดีอะไร ?

ว่ากันด้วยเรื่องของ Ford Everest รุ่นใหม่นี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมากเลยนะคะ โดยเปลี่ยนเป็นรถยนต์เอนกประสงค์ขนาดกลางหรือ PPV ซึ่งถือว่าก็เป็นรถยนต์ที่ค่อนข้างจะนิยมกันในไทยอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว อีกทั้งทางฟอร์ด ประเทศไทยก็ได้ตั้งเป้าเพิ่มยอดขายในปีนี้ด้วยการเพิ่มรุ่น เทรนด์เข้ามาด้วยราคาที่น่าจับจองและง่ายต่อการตัดสินใจมากขึ้นสำหรับผู้บริโภค แต่ถ้าเรามองกันตามความจริงละก็ การที่รถยนต์ PPV เริ่มต้นที่ราคา 1.2 ล้านบาทต้นๆ นั้น สามารถเบียดกับกลุ่ม SUV ได้อย่างสบายๆ เลยล่ะค่ะ อีกทั้งสิ่งที่ได้เปรียบไปกว่านั้นก็คือตัวรถมีขนาดใหญ่และเหมาะกับการเดินทางมากกว่าด้วย เรียกง่ายๆ ว่าดูกะทัดรัดนั่นเอง ดังนั้นทางฟอร์ดนั้นก็ได้เดินหน้าลุยตลาดอย่างจริงจังกับกลุ่มใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย

Ford Everest 2018

Ford Everest 2018

Ford Everest 2018 

ส่วนในเรื่องของรุ่นใหม่นี้ ถ้ามองจากภายนอกหลายคนคงอาจจะคิดว่า เอ๊ะ.. ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากไปสักเท่าไหร่นัก แต่สิ่งที่เปลี่ยนกันแบบจะๆ ก็คือเครื่องยนต์ ซึ่งรุ่นนี้เขายกเครื่องยนต์มาจากรุ่นพี่อย่าง แร็พเตอร์เลยนะคะ อีกทั้งทางฟอร์ดเองก็ยังตัดเครื่องยนต์เดิมทิ้งไปเลย เหลือไว้แค่เพียงเครื่องยนต์ 2.0ลิตร เท่านั้น เป็นแบบเทอร์โบเดียวและเทอร์โบคู่ และตัดกังวลเกี่ยวกับเรื่องประสิทธิภาพการใช้งานไปได้เลย เพราะว่าเวิร์คกว่าเครื่องยนต์เดิมเป็นไหนๆ บวกไปกับระบบต่างๆ ที่เพิ่มเข้ามาให้อย่างเนืองแน่น เราไปดูกันเลยดีกว่าค่ะว่าจะมีอะไรบ้าง

ดูเพิ่มเติม
>> ซื้อ ‘Ford’ มือสองรุ่นไหนดี?
>> ราคา Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์) 2018 เดือนกรกฎาคม 2561

เครื่องยนต์ Ford everest 2018

เครื่องยนต์ Ford everest 2018  

มาด้วยเรื่องขุมพลังที่เหนือกว่า ทางฟอร์ดก็มีมาให้เลือกทั้งหมด 2 แบบด้วยกัน ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ  180 แรงม้า / 3500 รอบต่อนาที แรงบิด 420 นิวตันเมตร / 1750-2500 รอบต่อนาที และเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ไบเทอร์โบ 213 แรงม้า / 3750 รอบต่อนาที แรงบิด 500 นิวตันเมตร / 1750-2000 รอบต่อนาที

เครื่องยนต์เดิมของ Ford everest

เครื่องยนต์เดิมของ Ford everest 

ลองมาเทียบกันกับเครื่องยนต์เดิมดีเซล 2.2 ลิตร เทอร์โบ  160 แรงม้า / 3200 รอบต่อนาที แรงบิด 385 นิวตันเมตร / 1600-2500 รอบต่อนาที และเครื่องยนต์ดีเซล 3.2 ลิตร เทอร์โบ 200  แรงม้า / 3000 รอบต่อนาที แรงบิด 470 นิวตันเมตร / 1750-2500 รอบต่อนาที

ความแตกต่างนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแรงบิดนั้นมีเพิ่มมากขึ้น และมาพร้อมกับประสิทธิภาพในการทำงานของกำลังและการเร่งความเร็ว อีกทั้งยังช่วยในการขับรถบนทางลาดชัดนั้นสมูทขึ้นอีกด้วย เช่น การขับรถขึ้นภูเขาที่ลื่นและลาดชันง่ายขึ้นกว่าเดิม พร้อมทั้งเกียร์ 10 สปีดที่เขายกมาจาก แร็พเตอร์ เดี๊ยนคิดว่าน่าจะช่วยประหยัดน้ำมันได้มากขึ้นอีกด้วย เพราะแรงบิดที่มาในต่ำนั้นจะทำให้ใช้คันเร่งได้น้อยลง

Ford everest 2018

Ford everest 2018 

ส่วนในเรื่องของความปลอดภัยก็คงไม่ต้องพูดถึงเพราะว่าทางฟอร์เองก็จัดเต็มมาให้อยู่แล้ว ทั้งอัดมาพร้อมกับเทคโนโลยีล้ำๆ มากมายที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการคล่องตัวเมื่อขับขี่ในเมือง แต่ในเรื่องของความสมบุกสมบันก็ยังคงไว้อยู่เช่นเดิม ส่วนระบบที่เพิ่มมากขึ้นนั้นได้แก่

ระบบต่างๆ ของ Ford everest 2018

ระบบต่างๆ ของ Ford everest 2018 

ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน ของฟอร์ด ซึ่งผสานระบบเบรกแบบ Inter-Urban Autonomous Emergency Braking (AEB) เข้ากับระบบตรวจจับคนเดินถนน (Pedestrian Detection) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) บริเวณรอบตัวรถ เพื่อหยุดรถ และช่วยลดอัตราการชนท้ายและการชนคนเดินถนนลง โดยระบบนี้จะทำงานเมื่อใช้ความเร็วสูงกว่า 3.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป

ระบบตรวจจับลมยาง (Tire Pressure Monitoring System) ทำหน้าที่คอยตรวจวัดความดันลมในยางล้อทั้ง 4 ล้อ และเตือนผู้ใช้งานเมื่อความดันลมเปลี่ยนแปลง ระบบนี้นอกจากจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการใช้น้ำมันแล้ว ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย และยืดอายุการใช้งานของยางอีกด้วย

ระบบต่างๆ ของ Ford everest 2018

ระบบต่างๆ ของ Ford everest 2018

 

ระบบประตูท้ายเปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้าแบบแฮนฟรี เพียงยื่นเท้าไปที่ใต้กันชนท้าย ประตูท้ายจะเปิดโดยอัตโนมัติ

กุญแจรีโมทอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทรถได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และขึ้นลงรถได้สะดวกสบายกว่าเดิม

ระบบซิงค์ 3 (SYNC 3) รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมระบบบลูทูธ จอทัชสกรีน ฟูลคัลเลอร์ ขนาด 0 นิ้ว และกล้องมองหลัง ผู้ขับขี่ยังสามารถใช้งาน Apple Maps และระบบแผนที่นำทางด้วยดาวเทียมซึ่งติดตั้งมากับรถ เมื่อออกนอกพื้นที่ที่มีสัญญาณโทรศัพท์อีกด้วย โดยระบบซิงค์ 3 ยังมาพร้อมระบบจดจำเสียง และระบบสั่งงานเสียงด้วยภาษาไทย เพื่อการใช้งานที่คล่องตัวยิ่งขึ้น

ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน (Emergency Assistance) ระบบ SYNC® ที่ได้รับการพัฒนามาขึ้นอีกขั้น เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธด้วยระบบ SYNC® และต่อสายไปที่เบอร์ 1669 เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือต้องการความช่วยเหลือฉุกเฉิน

Ford everest 2018

Ford everest 2018

 

ทั้งนี้ ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ใหม่ มีสีให้เลือกทั้งหมด 6 สี รวมถึงสีใหม่ Diffused Silver Metallic และสีมาตรฐาน ได้แก่ Aluminum Metallic,  Absolute Black Metallic,  Arctic White, Sunset Metallic และ Blue Reflex Metallic  โดยราคาเริ่มต้นเพียง 1.2 ล้านบาทเท่านั้น ใครสนใจก็ลองไปดูกันก่อนได้เลยจ้าที่โชว์รูมฟอร์ดทั่วประเทศ

ดูเพิ่มเติม
>> หายสงสัยกันได้เเล้วนะ กับความแตกต่างของ Ford Ranger กับ Ford Ranger Raptor
>> “F-Vision” รถบรรทุกระบบไฟฟ้ากึ่งอัตโนมัติ มิติใหม่แห่งอนาคต จาก Ford

ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสองสภาพดี เชิญเข้าดูที่ตลาดรถตรงนี้