Ford Mustang 2023 เจเนอเรชันที่ 7 เปิดตัวในตลาดสหรัฐฯ แผงหน้าปัดดิจิทัลได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องบินรบ ด้วยจอดิจิทัลขนาดใหญ่ 2 จอ พร้อม 2 ขุมพลังใหม่ เครื่องยนต์ EcoBoost 2.3 ลิตร และเครื่องยนต์ Coyote V8 ขนาด 5.0 ลิตรที่ทรงพลังที่สุด เตรียมขายจริงช่วงไตรมาส 2 ของปี 2023
ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ทำการเปิดตัว เผยโฉม ฟอร์ด มัสแตง 2023 (Ford Mustang 2023) เจเนอเรชันที่ 7 โดยมี 3 รุ่นคือ Ford Mustang Ecoboost และ Ford Mustang GT ที่มีให้เลือกตัวถังแบบ Fastback และ Convertible (เปิดประทุน) สุดท้ายกับรุ่น Ford Mustang Dark Horse ที่เป็นรุ่นท็อป วางดีไซน์เข้มขึ้น รวมถึงการปรับแต่งสมรรถนะที่เป็นรุ่นท็อปสุด
อ่านเพิ่มเติม - Ford Mustang 2021 เพิ่มสีใหม่เทา คาร์บอนไนซ์ เกรย์
Ford Mustang ทั้ง 7 เจเนอเรชัน
ดีไซน์โมเดิร์นคลาสสิก กระจังหน้าด้านล่างแบบเส้นขนานอันเป็นเอกลักษณ์ของ ฟอร์ด มัสแตง เน้นความกว้างตัวถัง โดยกระจังหน้าได้รับอิทธิพลจากรถรุ่นดั้งเดิมในช่วงทศวรรษที่ 1960 ไฟหน้า 2 แถบ หรือ ไตรบาร์ สะท้อนความคลาสสิกของมัสแตง แนวหลังคาที่โฉบเฉี่ยว และซุ้มล้อที่กว้าง รวมถึงท้ายที่สั้นลง สะท้อนแรงบันดาลใจจากการออกแบบมัสแตงตั้งแต่รุ่นแรก
แนวหลังคายังได้รับการปรับปรุงเพื่อให้นักขับรถในสนามแข่งเข้าและออกจากรถได้โดยไม่ต้องถอดหมวกกันน็อค ท้ายรถติดไฟแบบ 3 แถบดีไซน์ใหม่ พร้อมดิฟฟิวเซอร์ที่ออกแบบใหม่เพื่อให้ลู่ลมกว่าเดิม
Ford Mustang ecoboost
Ford Mustang GT
แต่ละรุ่นยังมีดีไซน์ด้านหน้าเป็นเอกลักษณ์ โดย Ford Mustang GT จะแตกต่างจาก Ford Mustang ecoboost โดยมีช่องตะแกรงที่ใหญ่และดุดันมากกว่าเพื่อให้อากาศไหลเวียนได้ดีขึ้น สะท้อนถึงขุมพลังและสมรรถนะที่เพิ่มขึ้น ตัวรถยังได้รับการปรับแต่งด้านอากาศพลศาสตร์ให้ดีขึ้น โดยเพิ่มช่องระบายอากาศและลิ้นหน้าที่ออกแบบใหม่
Ford Mustang ตัวถังเปิดประทุน
ในรุ่นตัวถังเปิดประทุน เปิดหลังคาผ้าใบทั้งผืนเพื่อรับลมได้ง่าย ๆ ด้วยการกดปุ่มเพียงครั้งเดียว การออกแบบหลังคาให้กะทัดรัดและการใช้ระบบกันสะเทือนหลังแบบอิสระ ยังช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระในกระโปรงท้าย โดยสามารถใส่ถุงกอล์ฟได้สูงสุดถึง 2 ใบ
Ford Mustang 2023 พลิกโฉมการออกแบบภายใน แผงหน้าปัดซึ่งใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุด และตอบโจทย์ผู้ขับขี่ที่สุดเท่าที่ฟอร์ด มัสแตงเคยมีมา ด้วยจอโค้งที่แสดงผลแบบต่อเนื่อง 2 จอ ปรับเปลี่ยนเพื่อดูข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเครื่องบินรบ
แผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 12.4 นิ้ว ปรับการทำงานให้แสดงผลได้ตามโหมดการขับขี่ พร้อมซอฟต์แวร์ทันสมัย ทำให้เปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลแบบอนิเมชันได้หลากหลาย ผู้ขับขี่ยังเลือกให้แผงควบคุมดิจิทัลแสดงผลได้แบบไร้รอยต่อ เชื่อมการทำงานกับหน้าจอ SYNC4 ขนาด 13.2 นิ้ว ตรงกลางคอนโซล โดยมุมมองของจอภาพจะหันเข้าหาผู้ขับขี่เสมือนค็อกพิตนักบิน ส่วนพวงมาลัยใหม่แบบครึ่งวงกลมในสไตล์รถแข่ง ยังช่วยเพิ่มพื้นที่ของคนขับให้กว้างขวางขึ้น
บริเวณคอนโซลกลางยังมีแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย และมีช่องเสียบ USB อยู่เหนือศีรษะ ซึ่งออกแบบมาให้ใช้กับกล้องวิดีโอติดรถยนต์ และอุปกรณ์อื่น ๆ ได้สะดวก โดยสายไฟไม่เกะกะในห้องโดยสาร ระบบเสียงภายในของ B&O ที่ปรับแต่งเพื่อรถรุ่นนี้โดยเฉพาะ และมอบประสบการณ์ภายในห้องโดยสารที่เหนือระดับ ด้วยความบันเทิงจาก Apple CarPlay และ Android Auto เพื่อฟังเพลงที่ชื่นชอบในระหว่างขับรถได้ และทั้ง 2 โปรแกรมยังรองรับการสั่งงานด้วยเสียง SYNC4 ของฟอร์ดอีกด้วย
Ford Mustang Ecoboost ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 2.3 ลิตร 4 สูบที่พัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งยังไม่มีตัวเลขแรงม้า แรงบิดเผยออกมา แต่ฟอร์ดเคลมว่ารุ่น Ecoboost ขับสนุกและประหยัดน้ำมัน
Ford Mustang Dark Horse
Ford Mustang GT และ Ford Mustang Dark Horse ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Coyote V8 ขนาด 5.0 ลิตร เจเนอเรชันที่ 4 ที่พัฒนาขึ้น ขับแรงม้าลงสู่ถนนได้อย่างราบรื่นที่สุด ด้วยนวัตกรรมการออกแบบ ไหลเวียนของอากาศที่ดียิ่งขึ้นเพื่อช่วยลดการสูญเสียกำลังเครื่องยนต์
มีตัวเลือกจับคู่ทั้งเกียร์ธรรมดา และสำหรับเกียร์ออโต้เป็น 10 สปีด เสริมด้วยฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดคือ Remote Rev ที่กดเร่งเครื่องยนต์จากปุ่มบนกุญแจรีโมตของรถได้
โหมดการขับขี่ที่ปรับได้ถึง 6 โหมด ได้แก่ โหมดปกติ โหมดสปอร์ต โหมดถนนลื่น โหมดแข่งทางตรง (แดรก) โหมดแทร็ก และโหมดสุดท้ายที่บันทึกการตั้งค่าส่วนตัวได้ จากความสามารถในการปรับแต่งรูปแบบส่วนตัวได้ถึง 6 สไตล์
ดริฟท์เบรกแบบไฟฟ้า
ฟีเจอร์ใหม่ "ดริฟท์เบรกแบบไฟฟ้า" ปลดล็อกความสามารถในการดริฟท์ของรถขับเคลื่อนล้อหลังด้วยการออกแบบเบรกมือที่มีทั้งรูปลักษณ์และประโยชน์ใช้สอยแบบเดียวกับเบรกมือแบบดั้งเดิม เพื่อเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่มาพร้อมกับ Performance Pack ออกแบบมาสำหรับทั้งผู้ขับขี่มือใหม่ที่อยากเรียนรู้และพัฒนาทักษะการดริฟท์รถ และสำหรับผู้ขับขี่ที่ชำนาญด้วยระบบที่พร้อมสำหรับลงสนามแข่ง
ฟีเจอร์ใหม่ ระบบจดจำป้ายจำกัดความเร็ว ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัจฉริยะพร้อมฟังก์ชันสำหรับการขับขี่ที่ต้องเบรกบ่อย ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางช่องทาง ระบบช่วยหักเลี้ยวเพื่อเลี่ยงการปะทะ และระบบช่วยเบรกขณะถอยหลัง นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ ระบบเลี่ยงการสะเทือนจากหลุมบนถนน หรือ Active Pothole Mitigation ซึ่งคอยตรวจสอบระบบกันสะเทือน ตัวถัง การบังคับเลี้ยว และการเบรกอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งปรับการตอบสนองของระบบกันสะเทือนให้สอดคล้องกัน
สามารถสั่งการรถผ่านแอปพลิเคชัน FordPass ได้หลากหลายจากระยะไกลโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เช่น การสตาร์ทและดับเครื่องยนต์ การล็อกและปลดล็อกประตู ตั้งเวลาสตาร์ทเครื่องยนต์ ระบุตำแหน่งของรถ และตรวจดูสภาพและสถานะของรถ นอกจากนี้ FordPass ยังบอกข้อมูลสำคัญอื่น ๆ เกี่ยวกับรถ เช่น ระดับน้ำมันหล่อลื่นและน้ำมันเชื้อเพลิง ประวัติการเข้ารับบริการ และข้อมูลการรับประกัน
Ford Mustang 2023 มีกำหนดจำหน่ายในช่วงฤดูร้อนปี 2023 ประกอบผลิตรถยนต์ที่โรงงานแฟล็ต ร็อค แอสเซมบลี ในเมืองแฟลตร็อค มลรัฐมิชิแกน
สเปคเบื้องต้นของ Ford Mustang 2023
จิม ฟาร์ลีย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี กล่าวว่า
“การลงทุนเพื่อพัฒนาฟอร์ด มัสแตง ขึ้นมาอีกเจเนอเรชัน ถือเป็นการแสดงจุดยืนครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในเวลานี้ที่คู่แข่งหลายรายกำลังทยอยเลิกผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่ฟอร์ดยังมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบสันดาปภายใน ควบคู่กับการพัฒนาเทคโนโลยีการเชื่อมต่อสื่อสาร การนำเสนอรุ่นย่อยที่แตกต่าง และเพิ่มทางเลือกเครื่องยนต์ไฮบริดสำหรับรถยนต์รุ่นขายดี ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้หน่วยงานของ ‘ฟอร์ด บลู’ ควบคู่กับการลงทุน 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอย่างต่อเนื่องจนถึงปี พ.ศ. 2569 เพื่อพัฒนายานยนต์พลังงานไฟฟ้า”
เครก แซนด์วิก ผู้จัดการทีมออกแบบการทำงานของอุปกรณ์ภายในห้องโดยสาร ฟอร์ด มัสแตง กล่าวว่า
“เราใช้ทุกพิกเซลบนจอภาพให้เป็นประโยชน์ โดยรังสรรค์ให้จอภาพแสดงข้อมูลที่จำเป็นต่อการขับขี่ ในขณะเดียวกันก็เปิดให้ผู้ใช้เลือกปรับแต่งการแสดงผลได้ตามต้องการ ตั้งแต่สีของจอ การเลือกหน้าปัดแสดงผลแบบคลาสสิก หรือการเลือกหน้าจอแสดงผลแบบเรียบง่ายซึ่งจะแสดงเฉพาะข้อมูลพื้นฐานเพื่อเพิ่มสมาธิในการขับขี่”
ริคาร์โด การ์เซีย ผู้จัดการทีมออกแบบภายในของฟอร์ด กล่าวว่า
“เราเข้าใจความต้องการของลูกค้า ฟอร์ด มัสแตง ใหม่ เป็นเจเนอเรชันที่มีความดิจิทัลมากที่สุด โดยยังคงแผงหน้าปัดที่แสดงข้อมูลที่จำเป็นในการขับขี่ไว้ครบถ้วน และย้ายปุ่มควบคุมบางส่วน เช่น การปรับระดับเสียง และอุณหภูมิ เข้าไปรวมอยู่บนหน้าปัดดิจิทัล ซึ่งได้เสียงตอบรับที่ดีจากผู้ใช้รถทั้งกลุ่มมิลเลนเนียล และเจน Z รวมถึงผู้ใช้ดั้งเดิมของฟอร์ด มัสแตง”
ตลาดรถมือสอง มีรถมากมายให้เลือกในราคาที่ถูกใจ