เปิดตัว Audi A7 Sportback ปี 2023 รุ่นใหม่ ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ราคา 4,799,000 บาท

ตลาดรถยนต์ในประเทศ | 10 พ.ย 2566
แชร์ 0

อาวดี้ ประเทศไทย กับกลยุทธ์ Electrify Model โดยรถยนต์กลุ่มพลังปลั๊กอินไฮบริด จะอยู่ภายใต้หัวข้อ TFSI e โดยเปิดตัว Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro กับตัวเลือก 2 รุ่นย่อย Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line ราคา 4,799,000 บาท และ Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line Black Edition ราคา 5,099,000 บาท

Audi A7 Sportback ปี 2023 ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด

Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro เปิดตัวให้เลือก 2 รุ่นย่อย

  • Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line ราคา 4,799,000 บาท
  • Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line Black Edition ราคา 5,099,000 บาท

 Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro มีให้เลือก 6 สี

  • Metallic Glacier White
  • Metallic Floret Silver
  • Metallic Mythos Black
  • Metallic Chronos Grey
  • Metallic Firmament Blue (สีใหม่)
  • Metallic Grenadine Red (สีใหม่)

อ่านเพิ่มเติม - Audi Q8 e-tron 2023 ขุมพลังไฟฟ้าเคลม 530 กม. มี 2 ตัวถัง 4 รุ่นย่อย ราคาเริ่ม 4.699 ล้านบาท

Audi A7 Sportback ปี 2023 ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด

Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro เป็นรถยนต์สไตล์ Gran Turismo 4 ประตู ระบบขับเคลื่อนปลั๊กอินไฮบริดทรงพลัง หนึ่งเดียวในเซกเมนต์ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro ultra technology

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเทอร์โบชาร์จขนาด 2 ลิตร ให้กำลัง 265 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ทำงานร่วมกับระบบเกียร์ S tronic 7 จังหวะ

แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสามารถเก็บพลังงานได้ถึง 17.9 กิโลวัตต์ / ชั่วโมง พร้อมระบบ Recuperation ที่สร้างพลังงานไฟฟ้ากลับคืนสู่แบตเตอรี่ขณะขับขี่

Audi A7 Sportback ปี 2023 ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด

กำลังขับรวมได้สูงถึง 367 แรงม้า เคลมความเร็วจาก 0 - 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 5.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในโหมดไฟฟ้าความเร็วสูงสุด 135 กิโลเมตร/ชั่วโมง เคลมวิ่งไฟฟ้า 69 กิโลเมตร/ชาร์จ มาตรฐาน WLTP

Audi A7 Sportback ปี 2023 ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด

Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro ได้รับการออกแบบมาเพื่อ ขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้าได้อย่างเต็มที่ในทุก ๆ วัน การผสมผสานระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาป มอบประสบการณ์การขับขี่ที่คล่องตัวและสปอร์ตในคันเดียว ด้วยโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันทั้ง 4 โหมด รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดนี้จึงใช้งานง่ายและเหมาะกับทุกการใช้งานในชีวิตประจำวัน

  • 1.  EV Mode รถจะขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ตราบใดที่คนขับไม่เหยียบคันเร่งเกินที่กำหนดไว้
  • 2.  Battery Hold ระบบจัดการการขับขี่จะรักษาความจุของแบตเตอรี่ไว้ที่ระดับปัจจุบันที่คงเหลือ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถครอบคลุมระยะทางที่กำหนดในภายหลังด้วยระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
  • 3.  Battery Charge ระบบจะจัดการการขับขี่โดยสร้างพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถวางแผนการใช้งานด้วยระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบในพื้นที่ที่ต้องการได้
  • 4. Hybrid จะถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติพร้อมกับระบบนำทาง หรือคนขับสามารถเลือกใช้ปุ่มโหมดการทำงาน โดยในโหมดนี้จะทำงานร่วมกันระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปอย่างลงตัว เพื่อลดอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลิงให้ได้น้อยที่สุด โดยรถจะเน้นการใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก เช่น การจราจรที่ติดขัด ระบบไฟฟ้าจะทำงานเป็นส่วนใหญ่ โดยจะทำงานร่วมกับระบบ Recuperation ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะการขับขี่ สถานการณ์ สภาพถนน และการขับขี่

Audi A7 Sportback ปี 2023 ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด

ระบบชาร์จ หัวชาร์จแบบ Type 2 สำหรับใช้กับเครื่องชาร์จสาธารณะ พร้อมแท่นชาร์จ Compact Charger ที่ใช้สำหรับการชาร์จไฟบ้านและอุตสาหกรรมระบบจะมีการแสดงสถานะ LED เพื่อความปลอดภัย รองรับการชาร์จไฟได้สูงสุด 7.4 กิโลวัตต์ (kW) โดยจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง นอกจากนั้น สำหรับการชาร์จด้วยไฟบ้านขนาด 220 โวลต์ ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่เปล่าให้เต็มได้ภายในเวลาไม่เกิน 4 ชั่วโมง

Audi A7 Sportback ปี 2023 ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด

สำหรับรุ่น S line Black Edition ได้ล้อลายใหม่ Audi Sport 5-double arm style ขนาด 20 นิ้ว พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีแดง ไฟหน้าแบบ HD Matrix LED พร้อมเอฟเฟกต์ไฟด้านหน้า-หลัง (Light staging) พร้อมไฟ Projector LED สัญลักษณ์ S ที่ประตูหน้า เบาะนั่งคู่หน้าหนัง Valcona แบบ Sports plus ตกแต่งด้วยลาย Diamond cut พร้อมสัญลักษณ์ S line พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ตท้ายตัด ตกแต่งด้วยหนัง Perforated พร้อมสัญลักษณ์ S line 

ตกแต่งภายในด้วยลาย Dark Matte Brushed Aluminum หลังคาพาโนรามิคเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า แป้นเบรก แป้นคันเร่ง และที่พักเท้าตกแต่งด้วย Stainless steel ภายในรถนั้นไม่ได้มีแต่ความสวยหรู แต่ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ดีเยี่ยม เช่น ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ แยกอิสระ 4 โซน ช่อง USB-C สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า 2 ตำแหน่ง และด้านหลัง 2 ตำแหน่ง ระบบเครื่่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ และไฟเรืองแสงในห้องโดยสารมากถึง 30 สี (Contour/ambient lighting) ระบบช่วยปรับอุณหภูมิในห้องโดยสารก่อนเริ่มการขับขี่ (Stationary air conditioning)

ตลาดรถมือสอง มีรถมากมายให้เลือกในราคาที่ถูกใจ