เชื่อว่า BMW คงเป็นรถในฝันของใครหลายๆ คน แต่นอกจากชื่อเสียงที่โด่งดังในเรื่องความแข็งแรงของรถ BMW แล้ว อะไรที่ทำให้ BMW ก้าวมาเป็นยนตกรรมที่ประสบความสำเร็จระดับโลก วันนี้ Chobrod จะพาไปทำความรู้จัก BMW ให้มากยิ่งขึ้นกัน
สารคดีประวัติศาสตร์รถ BMW
เดิม BMW เป็นบริษัทผลิตเครื่องยนต์เครื่องบินในประเทศเยอรมัน
จุดเริ่มต้น
เดิมที BMW ไม่ได้เริ่มต้นจากการผลิตรถยนต์ หากแต่เป็นบริษัทผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบินรบในประเทศเยอรมัน ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะปะทุความรุนแรงขึ้น ปี 1913 เป็นปีแรกของการก่อตั้งบริษัท Rapp-Motorenwerke โดย Karl Friedrich Rapp ที่ได้รับกำไรมหาศาลจากการขายเครื่องยนต์อากาศยาน แต่หลังจากที่ลูกค้าพบว่าเครื่องยนต์ที่ Rapp ผลิตมีอาการสั่นอย่างรุนแรง รายได้ก็ลดลงจนชื่อบริษัทถูกแขวนอยู่บนเส้นด้ายมาจนถึงปี 1916 Rapp-Motorenwerke กลับมาเติบโตอีกครั้ง เมื่อกองทัพปรัสเซียสั่งซื้อเครื่องบินจาก Rapp-Motorenwerke ทำให้กิจการกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง หลังจากที่ซบเซาอยู่นาน จากการร่วมทุนกับ Karl Friedrich Rapp ได้ Fran Josef Popp และ Camillo Castiglioni และเปลี่ยนชื่อเป็น Bayerische Flugzeug-Werke หรือ BFW ในปีเดียวกัน และในปี 1918 ได้กลายมาเป็น Bayerische Motoren Werke หรือ BMW ที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้
ดูเพิ่มเติม
>> รวม 10 รุ่นของ BMW ที่ดีที่สุดตลอดกาล
>> Five Fact : BMW i8 กับ 5 สุนทรียความสปอร์ตแห่งยนตกรรมยุคหน้า
ภาพใบพัดเครื่องบิน ซ้อนทับด้วยตราสัญลักษณ์ BMW จากโฆษณาที่ทำให้คนเข้าใจผิด
สัญลักษณ์ BMW ตั้งแต่อดีต มาจนถึงปัจจุบัน
สัญลักษณ์ “ตราใบพัดฟ้า”
โลโก้ BMW คือ การเปลี่ยนแปลงโลโก้ Rapp- Motorenwerke มาสู่โลโก้ของ BMW โดยสัญลักษณ์วงกลมที่ล้อมรอบหมายถึง “การขับเคลื่อน” และสีฟ้า-ขาวภายในวงกลม มาจากสีประจำธงของแคว้นบาวาเรีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของ BMW Head Office ที่อยู่ในรัฐมิวนิก รัฐที่ใหญ่ที่สุดของเยอรมัน ซึ่งสอดคล้องกับชื่อ BMW ที่ย่อมาจาก Bauerische motoren werke แปลเป็นภาษาอังกฤษก็คือ Bavaria Motor Works ที่ความหมายว่า “ยนตกรรมแห่งแคว้นบาวาเรีย” สะท้อนให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างโลโก้ BMW และสีธงชาติประจำรัฐบาวาเรีย เพื่อเป็นการบ่งบอกจุดกำเนิดที่น่าภาคภูมิใจจนมาถึงปัจจุบัน
BMW R32 รถมอเตอร์ไซค์รุ่นแรกของ BMW
วิกฤติครั้งแรก หลังจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
หลังจากเปลี่ยนชื่อมาเป็น BMW ชื่อเสียงในด้านการสร้างเครื่องยนต์เครื่องบิก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเครื่องยนต์เครื่องบินที่สร้างโดย BMW มีชื่อว่า BMW IIIA ได้กลายเป็นเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดในยุคนั้น BMW เป็นเจ้าแรกที่เลือกใช้ลูกสูบอลูมิเนียม ทำให้เครื่องยนต์มีน้ำหนักเบากว่าเครื่องยนต์ทั่วไป ในปี 1919 เครื่องยนต์ BMW IV ซึ่งเป็นรุ่นที่พัฒนาต่อจาก IIIA ซึ่งเป็นเครื่องที่ใช้ในเครื่องบินที่สร้างสถิติโลกเพดานบินสูงสุด โดยไม่มีระบบปรับความดันหรือเครื่องช่วยหายใจที่ 9,760 เมตร ในขณะที่กิจการดูเหมือนว่ากำลังจะไปได้สวย แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง และเยอรมันเป็นฝ่ายแพ้ ส่งผลให้เกิดการร่างสนธิสัญญาแวร์ซาย (Treaty of Versailles) ทำให้การผลิตเครื่องยนต์เครื่องบินกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายในเยอรมัน จากที่เคยผลิตเครื่องยนต์เครื่องบินมาโดยตลอด BMW ต้องหันเหไปผลิตเครื่องมือทำฟาร์ม และเบรกรถไฟ เพื่อให้กิจการยังคงอยู่รอดไปได้ ในขณะเดียวกัน Max Friz หัวหน้านักออกแบบของ BMW ก็กางแผนออกแบบรถมอเตอร์ไซค์ไปด้วย และได้เปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์คันแรกของ BMW ซึ่งมีชื่อรุ่นว่า R32 ในปี 1923 ที่งาน Berlin Motor Show
BMW Dixi รถยนต์รุ่นแรกของ BMW
BMW 3/15 PS ที่มีต้นแบบมาจาก BMW Dixi
ก้าวแรกของ BMW ในวงการรถยนต์
ในปี 1928 หลังจากที่ BMW ได้เข้าไปซื้อกิจการ Fahrzeugfabrik Eisenach ของ Heinrich Ehrhardt เจ้าของรถ Dixi หรือรถ Austin Seven ที่ซื้อลิขสิทธิ์การผลิตมาจากบริษัท Austin Motor ของอังกฤษ ได้มีการเปิดตัว BMW 3/15 PS รถยนต์รุ่นแรกของ BMW ในปีต่อมา และได้กลายเป็นที่ฮือฮาทันที เพราะสามารถชนะการแข่งขันรายการ Alpine Rally ตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าร่วม จากนั้นในปี 1933 BMW 303 ที่ผลิตมาพร้อมกับกระจังหน้าแบบไตคู่ (Kidney Grille) ถือเป็นรถยนต์ต้นตระกูลอันเอกลักษณ์ของรถ BMW ทุกรุ่นในปัจจุบัน
BMW 328 ปี 1937
BMW 501 ปี 1952
BMW Isetta ปี 1955
BMW 503 ปี 1956
วิวัฒนาการของ BMW ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
วิกฤติครั้งที่ 2 จากสงครามโลกครั้งที่ 2
ปี 1939 สงครามโลกได้หวนกลับมาอีกเป็นครั้งที่ 2 BMW เป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์เครื่องบินให้กับกองทัพเยอรมันเช่นเคย และเป็นอีกครั้งที่เยอรมันพ่ายแพ้ในสมรภูมิ ทำให้ต้องสูญเสียโรงงาน รวมถึงเครื่องไม้เครื่องมือเกือบทั้งหมด และ BMW ก็ต้องกลับไปผลิตของใช้ในครัวเรือน ก่อนที่จะกลับมาสร้างมอเตอร์ไซค์ในปี 1948 และรถยนต์ในปี 1951 ได้อีกครั้ง แม้ว่าการกลับมาในครั้งนี้ของ BMW จะมาพร้อมสมรรถนะที่เต็มเปี่ยม จากเทคโนโลยีที่เรียกได้ว่าล้ำสมัยที่สุดในเวลานั้น แต่กลับกลายเป็นว่า ช่วงเวลาที่เป็นจุดสูงสุดของยนตกรรม จะเป็นเวลาเดียวกับจุดต่ำสุดของ BMW ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้ไม่มีคนสนใจรถยนต์ราคาแพง ไปกว่าปากท้องของตัวเอง ตลาดรถเริ่มซบเซา และ BMW มียอดขายตกลงเรื่อยๆ จนคณะกรรมการมีความเห็นว่าจะตอบรับข้อเสนอการควบรวมของ Daimler-Benz แต่ก็ถูดคัดค้านจากทั้งคนงาน และผู้ถือหุ้นรายย่อย จนกระทั่ง Herbert Quandt หนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัท ตัดสินใจหาเงินมาซื้อหุ้นในส่วนที่จะขายให้ทาง Daimler-Benz นั้นเอาไว้เอง
ดีไซน์ BMW Motorrad ที่ถูกพัฒนาให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น
การเดินทางสู่ความสำเร็จ
ปี 1994 BMW ได้ลงทุนซื้อกิจการบริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอังกฤษ Rover Group ซึ่งมีรถหลายยี่ห้ออยู่ในเครือแต่ไม่ประสบความสำเร็จ และตกอยู่ในสภาวะขาดทุนจึงได้ตัดสินใจขายบริษัท Rover Group ให้กับบริษัท MG Rover และบริษัท Ford แต่ได้เก็บยี่ห้อหนึ่งในเครือ คือยี่ห้อ Mini ที่เปิดตัวไปในปี 2001 จากนั้นในปี 2007 BMW วางแผนที่จะขยายการเติบโตทางด้านมอเตอร์ไซค์ จึงได้ซื้อบริษัท Husqvarna Motorcycles ผู้ผลิตมอเตอร์ไซค์สัญชาติสวีเดน แต่ยังคงบริหารองค์กรโดยใช้ชื่อ Husqvarna ซึ่งแยกออกจาก BMW Motorrad โดยสิ้นเชิง ทั้งในด้านการพัฒนา การขาย และกิจกรรมต่างๆ ซึ่งมอเตอร์ไซค์ในเครือของ BMW ขึ้นชื่อในเรื่องคุณภาพ และความล้ำสมัย ผลิตตั้งแต่รถจักรยานเด็กเล่นยันรถมอเตอร์ไซค์เอนดูโร่ที่ไล่เก็บแชมป์แทบจะเกือบทุกสนามการแข่งขัน ในปี 2010 ได้มีรายงานออกมาว่ายอดขายของ BMW เพิ่มขึ้นจากปีก่อนๆ
สำหรับยอดขายรถในเครือ BMW ในประเทศไทย ปี 2017 BMW มียอดขาย 10,020 ล้านบาท Mini มียอดขาย 1,010 ล้านบาท BMW Motorrad 2,001 ล้านบาท และมียอดขายเติบโตในประเทศไทยกว่า 43% นับเป็นยอดขายเติบโตที่สูงที่สุดในโลก
>>> บางทีคุณอาจสนใจ รถ bmw มือสอง
ฺBMW i8 ที่จะเปิดตัวในปี 2019
กว่าที่ BMW จะเดินทางมาถึงจุดนี้ได้ต้องล้มลุคลุกคลานในสมรภูมิสงครามอย่างมากมายเลยทีเดียว และช่วงเวลาที่ยากลำบากก็ได้สะท้อนให้เห็นความแข็งแกร่ง และประสิทธิภาพของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี สำหรับบทความเรื่องรถดีๆ สามารถติดตามได้ที่ Chobrod.com นะคะ
ดูเพิ่มเติม
>> ยลโฉม “BMW i8 Roadster” เปิดหลังคารับลมบริสุทธิ์กันให้หนำใจกับราคาเริ่มต้นที่ 12 ล้านบาท
>> พาชมทีเซอร์ BMW X3M และ X4M 2019 ใหม่ 460 แรงม้า