Five FACT : 5 เรื่องน่ารู้ของรถพลังงานไฟฟ้าที่กำลังจะมาเป็นรถคันต่อไปของคุณ !

Five FACT : 5 เรื่องน่ารู้ของรถพลังงานไฟฟ้าที่กำลังจะมาเป็นรถคันต่อไปของคุณ !

ตลาดรถทั่วโลกเริ่มแล้วและกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ส่วนไทยแม้จะเริ่มช้าหน่อย เพิ่งมาเห็นความสำคัญของ รถ EV ในวันที่อากาศสะอาดใกล้จะหมดไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าไม่เริ่มทำอะไรเลย  และก่อนที่สยามประเทศจะเข้าสู่ยุครถพลังไฟฟ้าอย่างเต็มตัว Chobrod Five FACT ในสัปดาห์นี้ เราจะคุณไปทำความรู้จักรถประเภทนี้กันให้มากขึ้น กับ 5 เรื่องน่ารู้ของรถพลังงานไฟฟ้า ที่ในอนาคตรถประเภทนี้แหละจะมาเป็นส่วนหนึ่งในบ้านของคุณ และถ้าคุณพร้อมแล้ว ! ที่จะเป็นหนึ่งส่วนเล็ก ๆ สำคัญเพื่อช่วยให้อากาศสะอาดขึ้น เราไปดูกันเลยดีกว่า

1. รถไฟฟ้าคันแรกเกิดขึ้นมาแล้วกว่าร้อยปี

ความจริงแล้วนั้น รถ EV ก็ไม่ใช่ของใหม่อะไรมากนักอย่างที่หลายคนคาด รถพลังงานไฟฟ้าคันแรกนั้นถูกสร้างมาแล้วกว่าร้อยปีก่อน เมื่อปี 1884 เป็นยานยนต์ที่ได้รับการออกแบบและสร้างโดย Thomas Parker ชาวอังกฤษ วิศวกรไฟฟ้านักประดิษฐ์ ผู้จดสิทธิบัตรในการพัฒนาแบตเตอรี่และไดนาโม และยังเป็นผู้บุกเบิกในการสร้างระบบขับเคลื่อนด้วยรางแบบไฟฟ้าอีกด้วย ซึ่งเขาถูกยกย่องว่าเป็น “เอดิสันแห่งภาคพื้นยุโรป” เลยทีเดียว

Thomas Parker (คนกลาง) กับรถ EV คันแรกของโลก

ซึ่ง Parker มุ่งมั่นที่จะลดจำนวนรถยนต์ที่ใช้ทรัพยากรน้ำมันสิ้นเปลืองจนดูไร้ค่า ด้วยการสร้างรถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาทดแทน และรถพลังงานไฟฟ้าของเขาก็ทำได้จริง ด้วยการใช้แบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้ พร้อมความจุกระแสไฟที่แรงพอจะขับเคลื่อนรถทั้งคัน   

ดูเพิ่มเติม
>> 5 รถพลังงานไฟฟ้าที่จะได้เห็นบนถนนไทยในปี 2019
>> รวม 5 รถ SUV พลังงานไฟฟ้า 100% จาก 5 ค่ายยักษ์ใหญ่

 

2. รถ EV ที่แพง ๆ อยู่นี้ ก็เพราะราคาแบตเตอรี่

สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและเป็นสาเหตุที่ทำให้รถพลังงานไฟฟ้า “ไม่ปัง” สักทีบนท้องถนนแห่งสยามประเทศ เป็นเรื่องของราคารถที่สูงเกินไป จากสาเหตุของตัวราคาแบตเตอรี่ซึ่งสูงมากกว่า 50% ของราคารถ บวกกับรถประเภทนี้ยังไม่ถูกนำมาผลิตในประเทศ ก็ต้องมีการนำเข้ามา และเรื่องภาษีก็ต้องถูกบวกเพิ่มไปกับราคารถอีก ถึงแม้ตอนนี้ภาครัฐจะพยายามช่วยเหลือด้วยการวางแผนลดภาษีในส่วนนี้แล้ว แต่มันก็ยังไม่ช่วยให้ราคารถ EV เร้าใจน่าซื้อมากขึ้นสักเท่าไรนัก

แบตเตอรี่มีราคาสูง จึงส่งให้ราคาขายของรถ EV พุ่งตามไปด้วย

การที่รถพลังงานไฟฟ้ามีต้นทุนสูงจากเรื่องค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมของระบบขับเคลื่อนที่เปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่สำหรับเก็บไฟเพื่อใช้เป็นพลังงานให้รถวิ่ง บวกกับภาษีนำเข้าอีก (ในตอนนี้) ก็ทำให้ราคาขายสุทธิของตัวรถเมื่อถึงมือผู้บริโภค “สูงกว่า” จากที่คุ้นชินกับรถใช้เครื่องยนต์ อาทิเช่น Nissan LEAF EV ที่ราคาขายตอนนี้อยู่ที่ 1.99 ล้านบาท แต่ถ้าตีเป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์จากรูปลักษณ์ที่คล้ายกับรถขนาด C-Segment ราคาจะไม่เกิน 1.2 ล้านบาท จากราคาที่ยังสูงมากเมื่อรถตัวมาในฉบับ รถ EV จึงทำให้ผู้ซื้อเกิดการลังเล จนบทสรุปสุดท้ายแล้ว ก็หันกลับไปใช้รถที่เป็นเครื่องยนต์อยู่เหมือนเดิม  

Nissan LEAF ที่ยังแพงเพราะด้วยความที่เป็นรถนำเข้า

แต่ข่าวดีคือ ตอนนี้ภาครัฐฯ เริ่มแล้ว ! ที่จะเร่งให้เเกิดการผลิตทั้งตัวรถยนต์ EV และแบตเตอรี่สำหรับรถ EV ขึ้นในประเทศไทย นั่นก็หมายความว่าในอนาคตไม่นานเกินรอ คนไทยจะได้ใช้รถพลังงานไฟฟ้าที่ราคาถูกลง เอื้อมถึงได้ง่ายขึ้น

3. ประหยัดชัดเจน แถมค่าบำรุงรักษาน้อยกว่า

ข้อดีเด่นที่สุดที่ทำให้รถพลังงานไฟฟ้าเริ่มเป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้ซื้อรถ นอกจากจะช่วยในเรื่องการลดมลพิษแล้ว นั่นก็คือเรื่องของความประหยัด เมื่อคำว่าเครื่องยนต์ ไม่มีอยู่ในรถยนต์อีกต่อไป นั่นก็หมายความว่าเรื่องของราคาน้ำมันจะไม่มีผลอะไรอีกต่อไปแล้วกับตัวคุณหรือผู้ใช้รถทั้งหลาย เปลี่ยนเป็นการชาร์จไฟแทนที่จะทำให้การเดินทางต่อกิโลเมตรประหยัดลง ยกตัวอย่างเช่น จากที่ต้องจ่ายถึงกิโลเมตรละ 3 บาท เป็นกิโลเมตรละไม่ถึงบาท อีกทั้งระบบขับเคลื่อนของรถ EV มีชิ้นส่วนน้อยกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์ ก็ส่งผลให้ในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษานั้นถูกกว่าด้วย  

ระบบรถ EV ไม่ค่อยมีอะไรซับซ้อน ค่าซ่อมบำรุงจึงประหยัดกว่า

นี่ยังไม่รวมในเรื่องของความเงียบ ที่เมื่อคุณใช้รถ EV เสียงเครื่องยนต์ดัง ๆ ที่กวนใจคุณอยู่ก็จะไม่มีอีกแล้ว เผลอ ๆ ติดสตาร์ทรถเปิดแอร์อยู่ คุณก็อาจยังไม่รู้ด้วยซ้ำไป   
 

4. มลพิษยังมีอยู่จากตัวแบตฯ ในขั้นตอนการผลิต  

แม้จะบอกไว้ว่ารถ EV นั้นไม่มีการปล่อยมลพิษออกมาจากตัวรถก็จริง แต่ในเรื่องขั้นตอนการผลิตนั้นก็ยังมีอยู่ จากข้อมูลของ Union of Concerned Scientists (UCS) และ Environmental Protection Agency (EPA) ได้ทำการตรวจสอบ “ผลพวงมลพิษ” จากขั้นตอนการผลิตรถพลังงานไฟฟ้า พบว่ามีการปล่อยสารคาร์บอนออกมามากกว่า เมื่อเทียบกับการผลิตรถยนต์ทั่วไป ซึ่งต้นตอมาจากตัวแบตเตอรี่ อย่างไรก็ตามการปล่อยสารโดยรวมจะลดลงไปเองตลอดอายุการใช้งาน (ตั้งแต่การผลิตจนถึงขั้นตอนการกำจัด) ไม่น่ากังวลเท่าควันไอเสียจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์

สารคาร์บอนออกมามากกว่าในขั้นตอนผลิตรถไฟฟ้า

5. Rimac C_Two รถไฟฟ้าที่แรงที่สุดในโลก 0-100 ในเวลาไม่ถึง 2 วินาที

อย่าวางใจว่าการเป็นแค่รถ EV ในเรื่องของสมรรถนะความแรงจะเป็นรองรถที่ใช้เครื่องยนต์เผาไหม้ รถพลังงานไฟฟ้าได้พิสูจน์ตัวเองแล้วจากรถหลาย ๆ รุ่นที่ผ่านมา ว่าสามารถทำความเร็วได้ไม่แพ้ แม้แต่ Supercar เลื่องชื่อทั้งหลายยังต้องมีเกรง และเจ้าของสถิติรถไฟฟ้าที่แรงที่สุดในตอนนี้ก็คือ รถต้นแบบที่มีชื่อว่า Rimac C_Two Super (EV) Car ที่ตัวมอเตอร์พกพาแรงม้ามาด้วยกว่า 1888 ตัว พร้อมแรงบิดกว่า 2300 Nm กับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง “แป๊บเดียว” ไม่ถีง 2 วิ อยู่ที่ 1.85 วินาทีเท่านั้น และสามารถพุ่งทะยานทำความเร็วสูงสุดไปได้ถึง 413 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเมื่อเทียบกับรถที่ใช้เครื่องยนต์ที่แรงที่สุดในโลกตอนนี้ (02/2018) Hennessey Venom F5 ที่มาพร้อมกับ Topspeed 484 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ถือว่าไม่น้อยหน้าเลยกับความแรงที่ได้มาอย่างสะอาดหมดจดในแบบ รถ EV

เมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอยู่ทุกวินาทีและไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับ แต่เมื่อการเปลี่ยนแปลงนั้น ผ่านการพิจารณาอย่างรอบด้านแล้วว่าดีกว่าที่เป็นอยู่จริง สิ่งเหล่าแหละจะเริ่มมาเป็นส่วนหนึ่งจนรอเวลาการเปลี่ยนครั้งต่อไป เช่นเดียวกับรถยนต์ กว่าร้อยปีที่ผ่านมาต้องพึ่งพาแต่เครื่องยนต์สันดาป เผาไหม้ ปล่อยมลพิษทำลายโลก ถึง ณ ตอนนี้ก็เป็นเวลาของมอเตอร์ไฟฟ้าที่จะมาทดแทนแล้ว และทั้งหมดนี้คือ Five FACT ประจำสัปดาห์จาก Chobrod.com กับเรื่องของรถพลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีใหม่ที่กำลังจะมาเปลี่ยนโลก และไม่ช้าก็เร็ว หลาย ๆ คน น่าจะต้องได้เป็นเจ้าของรถ EV กันอย่างแน่นอนทุกครอบครัว รู้ไว้ก่อนเกี่ยวกับรถประเภทนี้ดีกว่าจริงไหม ? แล้วสัปดาห์หน้า Five FACT จะมากับเรื่องอะไรที่น่าสนใจ ต้องรอติดตาม

ดูเพิ่มเติม
>> 10 ข่าวเด่นประจำสัปดาห์วันที่ 11 ก.พ. 2019 - 17 ก.พ. 2019
>> รวมรถยนต์เปิดตัว 2018-2019 ค่ายไหนมีอะไรใหม่ ตื่นตาตื่นใจ ไปดูกัน !

ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่  
ต้องการซื้อรถมือสองสภาพดี เชิญเข้าดูที่ตลาดรถตรงนี้