“ทางด่วน” ไม่จำเป็น “อย่าจอด” ข้อปฏฺิบัติสำคัญเมื่อจำต้องหนีรถติด

ประสบการณ์ใช้รถ | 4 เม.ย 2562
แชร์ 0

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า บนทางด่วน ทางพิเศษที่เร่งความเร็วกันได้อย่างเต็มที่นั้น ยังมีข้อปฏิบัติที่ควรจะต้องปฏิบัติตาม เพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุดขณะเดินทางนั่นเอง

แน่นอนว่าการจราจรบนถนนหนทางในกรุงเทพมหานคร หลายคนก็คงรับรู้กันอย่างดีแล้วว่ามันขึ้นชื่อขนาดไหนกับปัญหา "รถติด" ในท้องถนนบ้านเรา เพราะระยะทางถนนในปัจจุบันมันไม่อาจจะรองรับกับรถยนต์จำนวนมหาศาลที่มีมากว่า 10 ล้านคันในกรุงเทพฯได้ และแน่นอนว่าอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับการหลีกหนี "รถติด" ในบ้านเรา ทางออกและทางเลือกในความคิดแรกๆ คือ "ขึ้นทางด่วนไปซะ"

ทางด่วน หรือทางพิเศษที่พาดผ่านเมืองหลวงของประเทศไทย จึงถือเป็นถนนคู่กายของผู้ขับรถยนต์ในกรุงเทพฯ มาช้านาน แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ หรือไม่ฉุกใจคิดเกี่ยวกับการเดินทางด้วยรถยนต์บนทางด่วน ว่า "ควรมีข้อปฏิบัติ" หรือ "สิ่งที่ต้องเฝ้าระวัง" อะไรบ้าง เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อตัวเอง ทรัพย์สิน และต่อผู้อื่นกับเพื่อนร่วมถนนด้วยเช่นกัน 

ทางด่วน หรือทางพิเศษ นับเป็นถนน

ทางด่วน หรือทางพิเศษ นับเป็นถนน "สำคัญ" ที่คู่กับคนกรุงเทพฯอย่างแท้จริง 

ความประมาทบ่อยครั้งบนทางด่วนจึงนำไปสู่อุบัติเหตุที่หลายคนไม่คาดคิด จนทำให้บาดเจ็บล้มตายกันไปไม่น้อย ส่วนหนึ่งก็เพราะหลายคนคิดแต่เพียงว่าเป็น "ถนน" ที่จะต้องทำความเร็วสูงๆ เท่านั้น แต่จริงๆ มันก็มีหลักวิธีในแนวทางปฏิบัติบน "ทางด่วน" เพื่อให้ขับขี่กันอย่างปลอดภัย และถึงที่หมายด้วยความสวัสดิภาพ

ดังนั้น บทความนี้ Chobrod ขอพาท่านผู้อ่านไปทำความเข้าใจกันหน่อยว่า แนวการขับขี่บนทางพิเศษที่สำคัญๆ มันมีอะไรบ้าง เริ่มกันเลยดีกว่า

อันดับแรกอยากให้ทำความเข้าใจกับ "เครื่องหมายจราจรบนทางด่วนและสัญญาณเตือน" ตามปกติแล้วมักจะมี "ขนาดใหญ่เป็นพิเศษ" ซึ่งเราสังเกตได้จากการที่หากขับรถขึ้นไปบนทางด่วน ป้ายสัญญาณต่างๆ จะใหญ่กว่าถนนด้านล่าง ทั้งนี้ก็เพื่อให้คนขับอย่างเราๆ นี้แหล่ะมองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นจากระยะไกล และมันทำให้วางแผนการขับได้ รวมถึงเบียงเส้นทางไปตามเส้นทางที่ต้องการได้ง่ายกว่า

ดูเพิ่มเติม
>> 
"ไทย" อันดับ 1 ประเทศที่รถติดที่สุดในโลก
>> ทำไงดี ?! ขึ้นทางด่วนแล้วเงินไม่พอจ่ายค่าผ่านทาง

สัญญาณที่บ่งบอกปริมาณการจราจรบนทางด่วน ก็เพื่อให้คนขับวางแผนการเดินทางได้ง่ายมากขึ้น

สัญญาณที่บ่งบอกปริมาณการจราจรบนทางด่วน ก็เพื่อให้คนขับวางแผนการเดินทางได้ง่ายมากขึ้น 

นอกจากนี้ ก็ยังมี "สัญญาณเตือน" ที่จะแสดงให้คนขับรถบนทางด่วนทราบว่า จะต้องลดความเร็ว หรือมีสิ่งกีดขวางข้างหน้าในระยะที่กำหนดไว้ หรือให้ระมัดระวังอุบัติเหตุจากฝนตกหนักเพราะอาจทำให้ถนนลื่นกว่าปกติ เป็นต้น แต่ทั้งนี้ สำหรับสัญญาณเตือนก็จะแสดงบนป้ายไฟสัญญาณขนาดใหญ่ บางจุดจะมีไฟกระพริบเพื่อดึงสายตาของคนขับให้รับทราบไว้ด้วย

แล้วสัญญาณเตือนส่วนใหญ่ทีว่ากันเนี่ย มักจะมีเหตุอะไรที่บ่งบอกได้บ้าง เรื่องนี้ไม่ยาก Chobrod ขอสรุปให้คำตอบ ซึ่งก็มีทั้ง การปิดช่องจราจรบางช่อง การจำกัดอัตราเร็ว งานซ่อมบำรุงถนน และอุบัติเหตุฉุกเฉินอื่นๆ

แต่อีกสิ่งที่สำคัญเมื่อใช้ทางด่วน คือ

แต่อีกสิ่งที่สำคัญเมื่อใช้ทางด่วน คือ "ไม่จำเป็นจริงๆ อย่าจอดเด็ดขาด"

สิ่งที่ต้องคำนึงอีกอย่างนอกไปจากสัญญาณเตือน และเครื่องหมายจราจรบนทางด่วนแล้ว อีกประเด็นที่สำคัญมากๆ เช่นกัน คือการขับรถบนทางด่วนนั้น เรา "ไม่ควรหยุดรถ" หากไม่จำเป็นจริงๆ เพราะการหยุดรถบนทางด่วนขณะที่กำลังทำความเร็วสูงกันอยู่อย่างไม่จำเป็นนั้น มันสุ่มเสี่ยงอย่างมากที่จะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงตามมา เพราะต้องไม่ลืมว่าบน "ทางด่วน" หรือ "ทางเพิศษ" นี้ รถแต่ละคันเลือกใช้บริการเพราะต้องการทำความเร็วหนีการจราจรที่ติดขัดอยู่เบื้องล่าง และแน่นอนว่ารถยนต์แต่ละคันต้อง "เหยียบคันเร่ง" เพื่อทำความเร็วกันทั้งหมดอย่างแน่นอน แต่หากมีรถคันใดคันหนึ่งหยุดกึกอย่างกระทันหัน หรือไม่มีเหตุจำเป็น ก็มีสิทธิ์จะเกิดความเสียใจ และเสียทรัพย์สินตามมา

แต่แน่นอนว่าอุบัติเหตุ หรือเหตุฉุกเฉินมันเลือกระบุ "วัน เวลา สถานที่" ให้เกิดเหตุไม่ได้นี่นา ดังนั้น หากรถยนต์เกิดมีปัญหาบนทางด่วน และจำเป็นจะต้อง "หยุดรถ" จริงๆ ก็ต้องมีแนวปฏฺบัติมาบอกกัน ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยขั้นสูงสุดของการใช้รถใช้ถนนบนทางด่วน

ทั้งนี้ ถ้าจำเป็นจะต้องหยุดรถ หรือจอดรถบนไหล่ทางด่วน จะต้องเปิดไฟกระพริบ หรือไฟฉุกเฉินเอาไว้ด้วย และอย่าลืมว่า "ต้องออกทางประตูซ้ายมือเสมอ" อย่าออกทาง "ประตูขวามืออย่างเด็ดขาด" เพราะการเปิดประตูด้านขวาและขณะที่รถคันอื่นกำลังวิ่งด้วยความเร็วสูง มันมีผลแน่ๆ ต่ออุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นได้ จากนั้นต้องตั้งสติและโทรศัพท์ขอการช่วยเหลือกจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญ คนขับหากมีผู้โดยสารมาด้วย จะต้องกำชับไม่ให้ผู้โดยสารออกมานอกรถอย่างเด็ดขาดขณะที่จอดอยู่บนทางด่วน รวมถึงหากมีสัตว์เลี้ยงเดินทางมากับรถด้วย ก็ต้องระวังเป็นพิเศษไม่ให้ออกมานอกตัวรถด้วยเช่นกัน

เพราะมันเสี่ยงเหลือเกินที่จะเกิดอุบัติเหตุบนทางด่วน หากจอดอย่างไม่จำเป็นจริงๆ

เพราะมันเสี่ยงเหลือเกินที่จะเกิดอุบัติเหตุบนทางด่วน หากจอดอย่างไม่จำเป็นจริงๆ 

แต่ทั้งนี้ หากว่า "ไม่มีเหตุจำเป็น" ที่จะต้องหยุดรถ แต่เกิดหยุดรถบนทางด่วนแล้วล่ะก็ นอกไปจากว่าจะสุ่มเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่ามันผิดกฎหมายด้วย เพราะกฎหมายเกี่ยวกับกับการจราจรในทางพิเศษ พ.ศ. 2555 ซึ่งได้มีการระบุไว้เกี่ยวกับการหยุดรถหรือจอดรถบนทางด่วนพิเศษ โดยได้ระบุไว้ว่าห้ามบุคคลใดหยุดหรือจอดรถบนทางพิเศษ หากมีการหยุดรถหรือจอดรถบนทางด่วนพิเศษ ผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบในเขตพื้นที่สามารถจับกุมและสามารถออกใบสั่งได้ทันทีหากพบเห็น ผู้กระทำผิดหรือฝ่าฝืนกฏระเบียบ แต่จะมีการยกเว้นในจุดที่มีป้ายอณุญาติให้จอดรถชั่วคราวในกรณีที่รถเกิดมีปัญหาขัดข้องหรือเกิดอุบัติเหตุเท่านั้น 

ทางด่วน หรือทางพิเศษ เมื่อขับขี่ก็ต้องจำเป็นที่ต้องคิดถึงความปลอดภัยไว้ด้วย

ทางด่วน หรือทางพิเศษ เมื่อขับขี่ก็ต้องจำเป็นที่ต้องคิดถึงความปลอดภัยไว้ด้วย 

องค์ประกอบของข้อบังคับตรงนี้ ก็มุ่งเน้นเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุบนทางด่วนนั่นเอง เพราะอย่างที่บอกเอาไว้ว่าการขับรถบนทางด่วนค่อนข้างใช้ความเร็วสูง ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนก็ทราบกันเป็นอย่างดี อีกทั้ง บนทางด่วนก็ไม่ได้มีที่มากพอจะให้จอดรถได้ กฎหมายจึงมาบังคับใช้กับเรื่องนี้

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ หวังว่าคงจะได้ความรู้กันไปเต็มที่ และอย่าลืมว่า การขับขี่ทุกครั้งจะต้องไม่ประมาท เพื่อให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัยนั่นเอง 

ดูเพิ่มเติม
>> 
ตำรวจเห็นชอบ เพิ่มความเร็วมอเตอร์เวย์ 110 กม./ชม.!!!
>> กฎหมายจราจรสุดฮิตประจำ 2018 ที่คนไทยมักจะทำผิดตลอด

ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่ 
ต้องการซื้อรถมือสองสภาพดี เชิญเข้าดูที่ตลาดรถตรงนี้

กอล์ฟ กันติพิชญ์