รู้หรือไม่ ว่านอกจากในประเทศไทยแล้ว ใบขับขี่ไทยยังใช้ได้ในอีกหลายประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ใบขับขี่สากลแต่อย่างใด ซึ่งประเทศเหล่านั้นก็คือ 9 ประเทศในกลุ่มอาเซียนนั่นเอง ประกอบด้วย
ใบขับขี่ไทย ใช้ประเทศไหนได้บ้าง ?
- ประเทศลาว
- ประเทศเมียนมาร์
- ประเทศเวียดนาม
- ประเทศกัมพูชา
- ประเทศสิงคโปร์
- ประเทศฟิลิปปินส์
- ประเทศมาเลเซีย
- ประเทศอินโดนีเซีย
- ประเทศบรูไน
เนื่องจากประเทศเหล่านี้ ได้ทำอนุสัญญาข้อตกลงว่าด้วยการยอมรับใบขับขี่ภายในซึ่งกันและกัน ประกอบด้วย ประเทศไทย, ประเทศเมียนมาร์, ประเทศลาว, ประเทศกัมพูชา, ประเทศมาเลเซีย, ประเทศสิงคโปร์, ประเทศเวียดนาม, ประเทศอินโดนีเซีย, ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศบรูไน รวมทั้งหมด 10 ประเทศ อนุญาตให้สามารถใช้ใบขับขี่แบบใหม่ (ใบอนุญาตขับรถ Smart Card) ในกลุ่มประเทศอาเซียนโดยไม่ต้องใช้ใบขับขี่สากลได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องการขับรถในประเทศไหน ก็ต้องรู้ข้อบังคับ ข้อปฏิบัติ ข้อห้ามรวมถึงวัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ เอาไว้ด้วย ซึ่งในประเทศกลุ่มอาเซียน มีข้อควรรู้ ดังนี้
ข้อควรรู้เมื่อขับรถในประเทศอาเซียน
1. ประเทศลาว
- ขับพวงมาลัยซ้าย และขับเลนขวา
- หากขับในเขตชุมชน ควรขับไม่เกิน 40 กม/ชม. หากขับบนทางหลวง หรือเมืองต่อเมือง จำกัดความเร็วไม่เกิน 80 กม/ชม.
- ห้ามรถทุกชนิดติดตั้งไฟสปอร์ตเพิ่มเติม ฝ่าฝืนจะถูกปรับ
- หากรถยนต์ของคุณขับเฉี่ยวรถจักรยานยนต์ กฎหมายในประเทศลาวจะถือว่าคุณผิดทันที ควรใช้ความระมัดระวังในการขับขี่
2. ประเทศเมียนมาร์
- พกพาสสปอร์ตสีม่วง หนังสือรับรองการตรวจสภาพรถ และสติกเกอร์ตัว T ที่ขอได้จากขนส่ง ไปติดหน้ารถและกระจกหลังรถไว้ด้วย
- พกแผ่นป้ายทะเบียนรถภาษาอังกฤษ ใบอนุญาตขับรถ ใบคู่มือจดทะเบียนรถหรือเล่มทะเบียนรถตัวจริง รวมถึงพาสปอร์ตไปด้วย
- ตามกฎหมายกำหนดให้รถขับชิดเลนขวา ขับพวงมาลัยซ้าย แต่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะขับรถพวงมาลัยขวา
- หากต้องขับรถตอนกลางคืน สามารถเปิดไฟสูงได้โดยไม่ผิดกฎหมาย เพราะทางในเมียนมาร์ช่วงกลางคืนจะมืดมาก
- ที่เมืองย่างกุ้งไม่อนุญาตให้ขับรถมอเตอร์ไซค์ ยกเว้นเจ้าหน้าที่รัฐ
- รถทุกคันจะต้องจ่ายค่าผ่านทาง
3. ประเทศเวียดนาม
- หากขับรถในเขตชุมชน ต้องใช้ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม. เมื่อพ้นเขตชุมชน สามารถทำความเร็วได้ไม่เกิน 90 กม./ชม.
- หากฝ่าฝืนความเร็ว กล้องจะตรวจจับได้ทันที เมื่อโดนปรับจะต้องจ่ายค่าปรับตั้งแต่หลักพันบาทไปจนถึงหลักหมื่นบาท
- ควรระวังฝูงสัตว์ต่าง ๆ ที่อาจเดินมาตัดหน้ารถได้
- หากคุณบีบแตรขอทางที่เวียดนาม จะไม่ได้ผล เพราะการบีบแตรที่เวียดนามหมายถึงการบอกตำแหน่งที่รถอยู่เท่านั้น
ตลาดรถมือสอง มีรถมากมายให้เลือกในราคาที่ถูกใจ
4. ประเทศกัมพูชา
- ใช้ความเร็วไม่เกิน 40 กม./ชม. นอกเขตเมือง รถทุกประเภทกำหนดใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม.
- ขับพวงมาลัยซ้าย และขับชิดขวา
- ไม่ต้องขอวีซ่าและสามารถอยู่ได้นานถึง 14 วัน
5. ประเทศสิงคโปร์
- จำกัดความเร็วอยู่ที่ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง กรณีที่อยู่บนทางด่วน ไม่ควรขับด้วยความเร็วเกิน 70-90 กม./ชม.
- บังคับให้เปิดไฟหน้ารถ โดยจะต้องเปิดในระหว่างเวลา 19.00 น. ถึง 07.00 น. ของเช้าวันถัดไป
- การเปิดไฟเลี้ยวขณะติดไฟแดงเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ต้องเปิดตอนไฟเขียวแล้วเท่านั้น
- ห้ามใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่
- ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง
6. ประเทศฟิลิปปินส์
- ขับพวงมาลัยซ้าย และขับเลนขวา
- บุคคลสัญชาติไทยเข้าและออกฟิลิปปินส์ได้ไม่เกิน 30 วัน
- ที่ฟิลิปปินส์รถติดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก เรียกได้ว่าพอ ๆ กับประเทศไทย จึงควรวางแผนการเดินทางให้ดี
7. ประเทศมาเลเซีย
- หากจะขับรถฝั่งเลนขวา ควรระวังรถหลังให้ดี ๆ เพราะผู้คนที่นี่ขับรถเร็วมาก และจะไม่แซงเมื่อต้องการแซง แต่จะขับจี้และเปิดไฟใส่แทน
- มีการใช้รถจักรยานยนต์เยอะ และมีการขับรถสวนเลน หรือย้อนศรเยอะมาก ควรใช้ความระมัดระวังในการขับขี่
- บนทางหลวงไฮเวย์จะมีการแบ่งเลนไว้อย่างชัดเจนมาก หากขับช้าให้วิ่งเลนซ้าย ถ้าขับเร็วให้วิ่งเลนขวา ส่วนเลนกลางจะมีไว้สำหรับรถจักรยานยนต์และรถบรรทุกเท่านั้น
8. ประเทศอินโดนีเซีย
- ขับพวงมาลัยขวา และขับเลนซ้าย
- ใช้รถจักรยานยนต์จะสะดวกมากกว่า เพราะการจราจรติดขัดมาก
- พยายามหลีกเลี่ยงการชี้นิ้ว และอย่าชี้ไปที่คนหรือสิ่งของ เพราะเป็นการกระทำที่ไม่สุภาพสำหรับคนอินโดนีเซีย
9. ประเทศบรูไน
- บุคคลสัญชาติไทยได้รับการอนุญาตให้พำนักในบรูไนได้ไม่เกิน 14 วัน
- หากไม่ใช่เหตุสุดวิสัย ห้ามบีบแตร เพราะเป็นการกระทำที่ไม่สุภาพสำหรับคนบรูไน
- พยายามหลีกเลี่ยงการชี้นิ้ว และอย่าชี้ไปที่คนหรือสิ่งของ เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สุภาพ
- ต้องหยุดให้คนบนทางม้าลายข้ามก่อนเสมอ
- หากต้องการให้ทาง ต้องกะพริบไฟหน้ารถ
หากต้องการขับรถในต่างประเทศ ควรเคารพและปฏิบัติตามข้อบังคับที่ประเทศนั้น ๆ กำหนดอย่างเคร่งครัด และอย่าฝ่าฝืนหรือกระทำสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะอาจจะถูกจับหรือถูกปรับได้ นอกจากจะทำให้เสียเวลาในการท่องเที่ยวแล้ว ยังต้องเสียเงินเพิ่มไม่น้อยอีกต่างหาก
ขอบคุณข้อมูลจาก viriyah, one2car
อ่านเพิ่มเติม >>