ฟอร์ด เฟียสตา (Ford Fiesta) เป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กมาก (Subcompact Car) ที่ผลิตและจำหน่ายโดย ฟอร์ดมอเตอร์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2519 และส่งขายไปตามที่ต่างๆ โดยมีตลาดรองรับอยู่ทั่วโลก ตั้งแต่ญี่ปุ่นไปจนถึงอเมริกา
ประวัติเดิมทีนั้น ชาวยุโรปนิยมชมชอบในรถนาดใหญ่ หรูหรา ราคาแพง แต่ในช่วงต้น คริสต์ทศวรรษ 1970 ชาวยุโรป เริ่มหันมาสนใจรถขนาดเล็กกันมากขึ้น โดยในช่วงนั้น หลายค่ายที่มีการออกแบบรถขนาดกะทัดรัดไว้แล้ว ก็สามารถหยิบยกมาประชาสัมพันธ์ได้ทันที แต่สำหรับฟอร์ด รถที่เล็กที่สุดในขณะนั้น คือ ฟอร์ด เอสคอร์ต (อังกฤษ: Ford Escort) ซึ่งมีภาพลักษณ์ที่ยังไม่เข้ากับค่านิยมในรถขนาดเล็กสักเท่าใดนัก ประกอบกับใน พ.ศ. 2516 เกิดวิกฤติราคาน้ำมันแพงขึ้นรอบหนึ่ง (ราคาพุ่งจาก 3 จนถึง 13 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรล แพงขึ้น 4 เท่าในครึ่งปี) ยิ่งกระตุ้นให้ผู้คนหันมาซื้อรถขนาดเล็กกันมากขึ้น ฟอร์ดจึงต้องรีบพัฒนารถรุ่นใหม่ขึ้นมาเพื่อชูเป็นจุดขาย ทีมพัฒนาของฟอร์ดได้ลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในยุโรปและอเมริกา ถึงความชอบเรื่องรถ เพื่อเป็นตัวช่วยในการพัฒนารถต้นแบบ จนเมื่อรถต้นแบบสำเร็จ ก็ถึงขั้นตอนการเลือกชื่อที่เหมาะสมที่จะตั้งชื่อเป็นชื่อรถ ซึ่งช่วงแรก ทีมนักพัฒนาและพนักงานฟอร์ดส่วนใหญ่ได้ลงคะแนนเลือกให้รถต้นแบบรุ่นใหม่มีชื่อว่า ฟอร์ด บราโว (อังกฤษ: Ford Bravo) แต่ เฮนรี ฟอร์ดที่ 2 (อังกฤษ: Henry Ford II) ประธานบริษัท ฟอร์ดมอเตอร์ ในขณะนั้น ได้ตัดสินใจให้รถรุ่นใหม่มีชื่อว่า ฟอร์ด เฟียสตา ตามความชื่นชอบส่วนตัวของเขา ฟอร์ด เฟียสตา เริ่มสายการผลิตอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน พ.ศ. 2519 โดยเริ่มขายในประเทศฝรั่งเศส และเยอรมนี แล้วจึงขยายตลาดไปเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน
เปิดตัว 2018 Ford Fiesta Van (ฟอร์ด เฟียสต้า แวน) รถบรรทุกขนาดเล็ก สไตล์แฮทช์แบ็ค 3 ประตู
ฟอร์ด เฟียสตา มีวิวัฒนาการตามช่วงเวลาแบ่งได้ 7 รุ่น ดังนี้
รุ่นที่ 1 (พ.ศ. 2519 - 2526)
ฟอร์ด เฟียสตา รุ่นแรก มีความแตกต่างจากรถ Subcompact รุ่นอื่นๆ ในยุคนั้น ตรงที่การออกแบบนั้นได้นำโปรแกรมคอมพิวเตอร์เสมือนจริงมาช่วยในการออกแบบ รวมทั้งมีนวัตกรรมที่ทันสมัยและภายในหรูหรากว่ารถ Subcompact รุ่นอื่นๆ (สมัยนั้น อุปกรณ์เสริมความหรูหรามักติดตั้งในรถขนาดใหญ่ ราคาแพง เกรดสูงๆ ไม่ใช่รถ Subcompact) เช่น กระจกนิรภัย, เข็มขัดนิรภัยดึงกลับอัตโนมัติแบบปรับระดับสูง-ต่ำได้ และอุปกรณ์ไล่ฝ้าที่กระจกหลัง, มูนรูฟ (หน้าต่างบนหลังคา เปิดดูดาวได้) ฯลฯ ซึ่งส่วนมากในยุคนั้นอุปกรณ์ประเภทนี้จะมีในรถขนาดกลางขึ้นไป ซึ่งความทันสมัยดังกล่าวได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของเฟียสตาเรื่อยมาถึงปัจจุบัน นอกจากนี้การออกแบบโดยใช้โปรแกรมช่วย ทำให้สามารถออกแบบรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีค่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทานเพียง 0.42 (ต่ำมากเมื่อเทียบกับรถรุ่นอื่นๆ ในยุคเดียวกัน) ทำให้รถลู่ลม ไม่ต้านลม เครื่องยนต์จึงทำงานเบาลง ส่งผลให้เครื่องยนต์ใช้น้ำมันน้อยลง และยังช่วยให้อัตราเร่งดีขึ้นด้วย โดยเครื่องยนต์รุ่นมาตรฐาน(ลูกสูบเล็กที่สุด) เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ ขนาด 957 ซีซี ให้กำลัง 40 แรงม้า มีอัตราการใช้น้ำมันอยู่ที่ 17.8 กิโลเมตร/ลิตร (ประหยัดมาก แม้เมื่อเทียบกับรถสมัยใหม่) ส่วนเครื่องยนต์ที่ให้แรงมากกว่า ก็จะนิยมรุ่น 1298 ซีซี ให้กำลัง 66 แรงม้า มีอัตราการใช้น้ำมันอยู่ที่ 16.1 กิโลเมตร/ลิตร ใน พ.ศ. 2522 เป็นเวลาเพียง 3 ปี ฟอร์ด เฟียสตา สามารถทำยอดขายสะสมได้ครบ 1 ล้านคัน และครบอีก 1ล้าน รวมเป็น 2 ล้านคันในปี 2524 เป็นยอดขายที่เร็วมาก
ดูเพิ่มเติม
>> Ford Fiesta ในประเทศไทยกับเกียร์เจ้าปัญหา!
>> Ford Fiesta รถเล็กรุ่นหน้าตาเป็นอย่างไร ??!
รุ่นที่ 2 (พ.ศ. 2526 - 2532)
ฟอร์ด เฟียสตา รุ่นที่ 2 มีจุดเด่นคือเครื่องยนต์(เฉพาะเครื่อง 1298 ซีซี) สามารถรองรับน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว และมีระบบเกียร์อัตโนมัติแบบอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT (รถญี่ปุ่นอื่นๆ เปลี่ยนมาใช้เกียร์ CVT เมื่อประมาณ พ.ศ. 2543 เป็นต้นมา) ส่วนภาพรวมอื่นๆ คือ เครื่องยนต์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่ให้กำลังน้อยลงเล็กน้อย แต่ที่แปลกประหลาดและเรียกความสนใจของเฟียสตาที่เป็นที่กล่าวถึงกันมาก คือ หน้าปัทม์รถ ที่มีรูปร่างประหลาด ปกติ หน้าปัทม์รถแบบทั่วไป เข็มวัดทุกเข็มจะอยู่รวมกันในเบ้าใหญ่เบ้าเดียว แต่เฟียสตารุ่นที่ 2 ในต่างประเทศ เกจ์วัดแต่ละเกจจะอยู่ในเบ้าเล็กๆ เกจ์ละเบ้า ไม่ได้อยู่รวมกัน
รุ่นที่ 3 (พ.ศ. 2532 - 2540)
ฟอร์ด เฟียสตา รุ่นที่ 3 มีการผลิตรถแฮทช์แบคแบบ 5 ประตูเป็นครั้งแรก (ก่อนหน้านี้มักจะมีแต่แบบ 3 ประตู) เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 2532 ก่อนการเปิดตัว 2 เดือน ต้นแบบรถเฟียสตารุ่นที่ 3 จำนวน 250 คัน ได้ถูกส่งมอบไปให้กลุ่มลูกค้ารายใหญ่ของบริษัท เพื่อเข้าสู่กระบวนการทดสอบรถบนการใช้งานจริง โดยเฟียสตาใหม่ มีระบบควบคุมการหยุด (อังกฤษ: Stop Control System-SCS) และระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (อังกฤษ: Anti-lock Breaking System-ABS) ทำให้มีความน่าเชื่อถือในการใช้งาน ภายในปีแรกหลังการเปิดตัว ฟอร์ดสามารถขายเฟียสตาใหม่ได้ถึง 500,000 คัน และในปีที่สองมียอดขายสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 649,781 คัน และนอกจากนี้ ยังมีการเสริมระบบความปลอดภัย เช่น เปลี่ยนวัสดุที่บุพวงมาลัยให้สามารถดูดซับแรงกระแทกได้ดีขึ้น เพื่อลดการบาดเจ็บจากการที่ศีรษะกระแทกพวงมาลัยหากรถชน, ติดตั้งถุงลมนิรภัยเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน, ตัวถังที่แข็งแรงขึ้นเพื่อป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง, เข็มขัดนิรภัยที่มีระบบดึงกลับและปรับความตึงอัตโนมัติ, เบาะคู่หน้าแบบป้องกันการลื่นไถล, ปุ่มฉุกเฉิน กดเพื่อตัดการจ่ายเชื้อเพลิงออกจากถังในทันทีในกรณีเกิดอุบัติเหตุที่อาจมีเชื้อเพลิงรั่วไหล ดังนั้น ถึงแม้เฟียสตาอาจมีความปลอดภัยต่ำกว่ารถรุ่นอื่นๆ เป็นบางรุ่น ก็เป็นธรรมดาของรถขนาดเล็กที่มีความสามารถในการปกป้องผู้โดยสารต่ำกว่ารถใหญ่โดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถ้าเทียบกับรถขนาดเดียวกันแล้ว ถือว่า "ปลอดภัยไร้เทียมทาน" นอกจากนี้ เฟียสตารุ่น 3 ยังสามารถกวาดรางวัลจากหน่วยงานต่างๆ ได้มากมาย เช่น รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี 1989 จากนิตยสาร What Car?, รางวัลรถขนาดกะทัดรัดยอดเยี่ยมจากการโหวตของผู้ว่านนิตยสาร Auto, Motor und Sport, รางวัลรถซิตี้คาร์ยอดเยี่ยมจากนิตยสาร Neue Revue, รางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมอันดับ 3 ของยุโรปประจำปี 1990 (อังกฤษ: European Car of the Year)
รุ่นที่ 4 (พ.ศ. 2538 - 2545)
ฟอร์ด เฟียสตา รุ่นที่ 4 ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีความโค้งมนรอบขึ้น เหลี่ยมมุมต่างๆ ถูกแทนที่ด้วยลายเส้นโค้ง ทำให้ลู่ลมได้ดีขึ้น ช่องระบายอากาศด้านล่างถูกเปลี่ยนใหม่, มีแผงไฟขนาดใหญ่ขึ้น, ระบบกันสะเทือนด้านหน้าออกแบบใหม่โดยใช้เหล็กเสริมกันโครง, และด้านหลังมีการออกแบบคานบิดใหม่และติดตั้งระบบควบคุมการยึดเกาะ Traction Control เพื่อเพิ่มความสามารถในการทรงตัว, มีการติดตั้งระบบเบรกแบบ ABS 4 Channel, เครื่องยนต์ใหม่ ประหยัดน้ำมันและปล่อยไอเสียในระดับต่ำ จนได้รางวัล รถยนต์สีเขียว ฟอร์ด เฟียสตา รุ่นที่ 4 เป็นรถที่มียอดขายสูงที่สุดในสหราชอาณาจักร 3 ปีซ้อน และมีภาพรวมเป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ขายดีที่สุดในยุโรป
รุ่นที่ 5 (พ.ศ. 2545 - 2551)
ฟอร์ด เฟียสตา รุ่นที่ 5 ออกแบบให้ทันสมัยขึ้นอย่างก้าวกระโดด และมีการติดตั้งถุงลมนิรภัยด้านข้าง ในภาพรวมแล้ว เฟียสตาเริ่มเสื่อมความนิยมลงในแถบยุโรป โดยกลายเป็นรถที่มียอดขายอันดับ 3 รองจาก โอเปิล คอร์ซา (อังกฤษ: Opel Corsa) และ เปอโยต์ 206 (อังกฤษ: Peugeot 206) แต่ยังได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในประเทศ บราซิล
รุ่นที่ 6 (พ.ศ. 2551 - 2560)
ฟอร์ด เฟียสตา รุ่นที่ 6 เปิดตัวในงานแฟรงค์เฟิร์ตมอเตอร์โชว์ 2008 และเริ่มขายตลาดไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ที่ฟอร์ดประเทศไทย ได้นำเฟียสตาเข้ามาผลิตและจำหน่าย โดยในรุ่นนี้ เฟียสตามีตัวถังแบบรถซีดาน เป็นครั้งแรก (ซีดานคือรถทั่วๆไปที่มีกระโปรงหลังและกระโปรงหน้า) ซึ่งฟอร์ดจะขายเฟียสตาทั้งแบบซีดานและแฮทช์แบค และจากการทดสอบความปลอดภัยของเฟียสตาใหม่ ก็พบว่า เฟียสตาใหม่ ปลอดภัยในระดับแถวหน้าของรถเล็ก และยังได้นำรุ่นพิเศษ ที่ให้ถุงลมนิรภัย 6 ลูกและ 7 ลูก (รถ segment นี้ปกติจะมีถุงลมให้ 1-2 จุดเท่านั้น)ระบบ ESP มาจำหน่ายในไทยอีกด้วย เครื่องยนต์มีให้เลือกคือ 1.25, 1.4, 1.6, 1.4 ดีเซล, 1.6 ดีเซล ในประเทศไทยมีให้เลือกเฉพาะ 1.4 และ 1.6 เบนซิน ภายหลังมีการเพิ่ม 1.5 เบนซิน ตัวถังมีให้เลือกคือ 3, 5, 4 และ 2 ประตู van เกียร์มีให้เลือกคือ อัตโนมัติ 4 สปีด, ธรรมดา 5 สปีด, และ 6 สปีด dual clutch PowerShift และเตรียม minor change ในประเทศไทยเร็วๆ นี้ โดยมีรุ่นเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร EcoBoost มาให้เลือกอีกด้วย แต่ไม่ใช่อีโคคาร์ เนื่องจากฟอร์ดไม่ได้เข้าร่วมโครงการอีโคคาร์
รุ่นที่ 7 (พ.ศ. 2560 - ปัจจุบัน)
ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เฟียสตารุ่นที่เจ็ดได้เปิดตัวในประเทศเยอรมณี โดยมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ห้องโดยสารกว้างขวางขึ้น ปลอดภัยขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้นและจับกลุ่มตลาดที่แพงขึ้น เฟียสตายังมีรุ่นครอสโอเวอร์ที่ชื่อว่าเฟียสตา แอคทีฟและรุ่นหรูหราชื่อเฟียสตา วินเนล
ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 ได้มีการเปิดตัวฟอร์ด เฟียสตา เอสที รุ่นที่เจ็ด ซึ่งมาพร้อมกับเครื่องยนต์อีโคบูสต์เทอร์โบ 1.5 ลิตร 3 สูบ 197 แรงม้า
ได้ชมและได้ความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของ ฟอร์ด เฟียสตา ในแต่ละรุ่นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วเนอะ ครั้งหน้าจะเป็นบทความเรื่องอะไร อย่างลืมติดตามกันได้ที่ Chobrod.com
ดูเพิ่มเติม
>> มาส่องรถสุดเท่ห์จากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “Transformers 5 The Last Knight”
>> จะเป็นไปได้ไหม ? ซื้อรถยนต์ใช้ภายใน ‘5 เดือน’ ??!
ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่
ค้นหาข้อมูลรายละเอียดสามารถเข้าดูวีวิวรถ เชิญที่นี่