การเลือกซื้อรถไฟฟ้า EV ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง ?

ประสบการณ์ใช้รถ | 16 ก.ย 2565
แชร์ 3

การเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ใช่ว่าจะเดินไปซื้อมาได้เลย ก่อนจะซื้อรถไฟฟ้า EV สักคันมาใช้งาน ต้องคำนึงถึงหลาย ๆ ปัจจัย เพื่อให้เกิดประโยชน์กับตัวผู้ใช้มากที่สุด

ใช่ว่าอยากซื้อรถไฟฟ้า EV (Electric Vehicle) ก็สามารถซื้อได้เลย แต่จะต้องคำนึงถึงปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ดูความเหมาะสมว่าหากซื้อมาแล้ว จะใช้ได้อย่างคุ้มค่าหรือไม่ หรือซื้อมาแล้วจะสร้างภาระให้กับตัวคุณมากกว่าเดิมรึเปล่า แล้วการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง หาคำตอบได้ในบทความนี้ !

ซื้อรถไฟฟ้า

1. ความเหมาะสมด้านการใช้งาน

รถยนต์ไฟฟ้า เหมาะกับผู้ใช้ชีวิตเหมือนเดิมแทบทุกสัปดาห์ เช่น พนักงานออฟฟิศ หรือนักศึกษา ที่ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้รถขับไปเรียนหรือไปทำงานทุกวัน หรือใช้รถไม่เกิน 100 กม. ต่อวัน ส่วนผู้ที่ออกทริปหรือต้องเดินทางต่างจังหวัดเป็นประจำ (ระยะทางมากกว่า 400 กม.) อาจไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นัก เพราะในตอนนี้ สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ายังมีไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ แม้เส้นทางสายหลักจะเปิดให้บริการแล้ว แต่เส้นทางสายรอง หรือตามที่ทุรกันดาร ยังไม่ค่อยมีจุดชาร์จเท่าที่ควรนั่นเอง

2. ความพร้อมด้านสถานที่

การเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ต้องคำนึงถึงสถานที่อยู่อาศัยด้วยเช่นกัน หากอยู่บ้าน สามารถติดตั้ง Home Charger ได้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ถ้าอาศัยอยู่ตามคอนโดหรืออะพาร์ตเมนต์ ก็ควรจะมีสถานีชาร์จไฟอยู่ในบริเวณใกล้เคียง หรืออยู่ในจุดที่สามารถขับไปใช้บริการได้สะดวกด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ การติดตั้ง Home Charger ต้องคำนึงถึงระบบไฟภายในบ้าน และจัดทำโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานนั่นเอง

การ เลือก ซื้อ รถยนต์

3. ประสิทธิภาพของรถยนต์ไฟฟ้า 

ก่อนซื้อรถไฟฟ้า EV จะต้องเช็กประสิทธิภาพของรถยนต์ไฟฟ้าคันนั้น ๆ ด้วย ทั้งในเรื่องของระยะทางการขับขี่ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง หากปกติแล้วใช้งานไม่เกิน 100 กม.ต่อวัน ก็สามารถเลือกรุ่นที่ชอบได้ตามใจ แต่ถ้าขับรถวันละหลายร้อยกิโลเมตร ก็ควรเลือกรุ่นรถที่มีความจุแบตเตอรี่สูง ๆ เอาไว้ 

ด้าน ระบบระบายความร้อนของแบตเตอรี่ ก็เป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อใช้รถยนต์ไฟฟ้าในระยะทางไกล ควรเลือกรถยนต์ EV ที่ระบายความร้อนแบตเตอรี่ด้วยน้ำ มากกว่าระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ เพราะเหมาะสมกับเมืองร้อนอย่างประเทศไทยมากกว่านั่นเอง 

นอกจากนี้ ยังควรเลือกรถยนต์ EV ที่รองรับการชาร์จไฟในพลังงานสูง เพราะทำให้แบตเตอรี่เต็มได้อย่างเร็วมากยิ่งขึ้น ส่วนใหญ่แล้วจะรองรับการชาร์จแบบ DC ที่ 50 kW ขึ้นไป และ AC ที่ 3.6 kW ขึ้นไป

ประสิทธิภาพของรถยนต์ไฟฟ้า

4. ของแถมและการรับประกันหลังการขาย

หากรุ่นรถที่เลือกมีการรับประกันระบบไฟฟ้าและแบตเตอรี่ด้วยจะดีมาก เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉินไม่คาดคิดขึ้นมา จะได้ไม่ต้องลำบากเงินในกระเป๋า นอกจากนี้ ในด้านของแถม ถ้าค่ายไหนมี Home Charger หรือ สายชาร์จฉุกเฉิน มาให้ก็จัดว่าปังสุด ๆ เพราะหากมีอุปกรณ์เหล่านี้ คุณก็ไม่จำเป็นจะต้องไปชาร์จไฟนอกบ้านเลย 

จะเห็นได้ว่า การจะซื้อรถไฟฟ้า EV มาใช้งานสักคัน ใช่ว่าจะเดินเข้าโชว์รูมไปเลือกซื้อมาได้เลย ยังต้องคำนึงถึงหลาย ๆ ปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความเหมาะสมด้านการใช้งาน ความพร้อมด้านสถานที่ ประสิทธิภาพของรถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงของแถมและการรับประกันหลังการขายด้วยเช่นกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับตัวผู้ใช้เอง

ของแถมและการรับประกันหลังการขาย

อ่านเพิ่มเติม >>