รถยนต์คือทรัพย์สินอันมีค่า มีความหมายสำหรับหลายๆ คนที่กว่าจะจ่ายเงินจำนวนไม่น้อยเพื่อจะได้มาซึ่งการเป็นเจ้าของอย่างสมบูรณ์แบบ และไหนจะค่าใช้จ่ายการบำรุงรักษาด้านต่างๆ ในทุกครั้งที่ล้อหมุนอีกตลอดระยะเวลาที่ใช้งาน รวมไปถึงการล้างรถ หรือดูแลสีรถซึ่งเป็นเหมือนปฐมบทแห่งการดูแล และเป็นเหมือนการลงทุนเพื่อให้ตัวทรัพย์สินที่เรียกว่ารถนี้ ให้ดูใหม่มีราคาขึ้นมา แต่การล้างรถจริงๆ แล้วมีความสำคัญยังไง และควรทำบ่อยแค่ไหน Chobrod ขออาสาพาไปดูกันเลย
การล้างรถ บ่อยแค่ไหนเรียกว่าเป็นการดูแล
บางครั้งการจะล้างรถตอนไหน ทุกคนสามารถรู้เองได้ว่าถึงเวลาแล้วแหละที่จะต้องทำความสะอาดรถได้สักที จากความสกปรกอันสามารถเห็นได้ชัดเจนจนแทบไม่อยากขับ ทั้งจากการใช้รถบนถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นละออง หรือคราบจากน้ำฝนตอนแห้ง หรือแม้กระทั้งยางจากต้นไม้และขี้นกเมื่อตอนคุณจอดใต้ต้นไหม้เพื่อหวังร่มเงา
การล้างรถจริงๆ แล้วควรอยู่ในตารางการดูแลที่ควรทำเป็นประจำหรือไม่ เพื่อการรักษาสีรถให้ดูใหม่น่าขับอยู่เสมอ ให้ความรู้สึกมั่นใจทุกครั้งก่อนขึ้นรถ แม้รถจะปีเก่าแต่ถ้าสภาพสีรถไม่เก่าตามปีย่อมส่งผลดีไปถึงมูลค่าเวลาขายต่อที่สูงกว่า เหตุผลมากมายเหล่านี้น่าจะพอทำให้การล้างรถมาเป็นหนึ่งในกิจวัตรที่ไม่ควรปล่อยปละสำหรับทุกๆ คน
ควรล้างรถบ่อยแค่ไหน
ผู้เชี่ยวชาญในการดูแลสีรถแนะนำว่าควรล้างรถทุกหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ ถ้ารถถูกใช้งานในสภาพอากาศที่ไม่ค่อยจะเป็นมิตรกับสีรถสักเท่าไรนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศไทยที่อุณหภูมิความร้อน และแสงแดดเป็นบ่อนทำลายความเงางามของสีรถได้เป็นอย่างดี ถ้าเป็นหน้าฝน เม็ดฝนที่กวาดรวมเอามลภาวะลงมาพร้อมกับเม็ดฝนจนมาเกาะที่สีตัวรถก็คือศัตรูตัวดีที่ทำให้ตัวรถดูโทรมเร็วกว่า และยังกระตุ้นให้รถเกิดสนิมได้ง่ายเมื่อเทียบกับรถที่ได้รับการดูแล ล้าง เคลือบสีอยู่เป็นประจำ ยิ่งถ้าเป็นคราบขี้นกหรือยางจากต้นไม้ที่มีสภาพความเป็นกรดสูง แล้วปล่อยให้เกาะกับสีรถนานเกินไป คราบจะยิ่งฝังลึกล้างหรือขัดออกยาก เพราะฉะนั้นควรล้างออกทันทีที่เห็นคราบเหล่านี้ ถ้าไม่อยากให้รถมีคราบที่เอานอกไม่ได้นอกเสียจากต้องทำสีรถใหม่อย่างเดียว
การล้างรถควรทำเป็นกิจวัตรเพื่อสภาพสีที่ดูดี
รวมทั้งส่วนของภายในของตัวรถก็ไม่ควรละเลยที่จะทำความสะอาด เช็ด หรือดูดฝุ่นที่ตัวพรม แม้ว่าตอนขับขี่ ภายในห้องโดยสารจะได้รับฝุ่น และควันน้อยกว่าภายนอกมาก แต่อย่าลืมว่าผู้ขับขี่ทุกคนต้องสูดอากาศเวียนหายใจภายในห้องโดยสาร คงไม่ใช่อากาศที่บริสุทธิ์อย่างแน่นอนถ้าปล่อยให้ฝุ่นเกาะอยู่เต็มพรมที่พื้น หรือตามอุปกรณ์ต่างๆ ภายในตัวรถ หมั่นใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นลูบฝุ่นที่เกาะอยู่ตามชิ้นส่วนภายในห้องโดยสาร และดูดฝุ่นสัปดาห์ที่พื้นห้องโดยสารสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง จะเป็นการช่วยไม่ให้ฝุ่นละอองสะสมอยู่ภายในตัวรถมากเกินไป
ภายในห้องโดยสารควรได้รับการดูแลไม่น้อยกว่าภายนอก
ลงแว็กซ์ เคลือบสีจำเป็นแค่ไหน?
รถยนต์ส่วนใหญ่ต้องการการบำรุง และป้องกันจากผลิตภันณ์ดูแลสีรถยนต์ที่เรียกว่า “แว็กซ์” ด้วยเหมือนกัน ซึ่งแว็กซ์สามารถทำอะไรได้มากกว่าแค่ความเงางามที่มอบให้กับตัวรถ แต่ตัวแว็กซ์นี้ยังช่วยปกป้องสารเคมีต่างๆ ที่ไม่ค่อยถูกกับสีรถ และทำลายความความเงางามตามที่กล่าวมาข้างต้น เช่นขี้นก ยางต้นไม้ ฝุ่นละอองหรือแม้ความร้อนจากแสงแดด ช่วยปกป้องไม่ให้มาทำลายสีรถ หรือย่างน้อยก็รถความรุนแรงที่จะมีผลต่อสภาพสี และความเงางามของแล็คเกอร์ เมื่อสีรถได้รับการเคลือบปกป้องจากเจ้าตัวแว็กซ์นี้ก็เหมือนเป็นการสร้างเกาะป้องกันไว้ชั้นหนึ่งให้กับสีรถได้เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำทุกครั้งหลังจากล้างรถเสร็จ เพราะแว๊กซ์เป็นสารเคมีที่สามารถถูกชะล้างออกไปได้ ไม่ติดแน่นอยู่กับสีรถโดยตลอดเพราะฉะนั้นควรเคลือบแว็กซ์ใหม่ทุกครั้งเพื่อการปกป้องสีรถที่ดีที่สุด
หลังล้างรถควรเคลือบแว็กซ์ด้วยทุกครั้ง
>> ข้อควรรู้ก่อนจะซื้อรถ 'สีขาว'
ฟื้นฟูสภาพสีด้วยการทำ Detailling
และสุดท้าย การ Detailling เก็บความเรียบร้อย เรียกว่าการขัดสี ลบริ้วรอยที่เกิดจากการใช้รถที่ผ่านมา ย่อมมีริ้วรอยที่เกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งใจหรือแม้เจ้าของรถไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เปรียบเสมือนการฟื้นฟูสภาพสีรถครั้งใหญ่ให้กลับมาสวยใหม่ ใกล้เคียงกับเมื่อตอนออกป้ายแดงมากที่สุด ผ่านผลิตภันณ์เฉพาะด้าน และขั้นตอนการทำเฉพาะทาง รอยขนแมว ขนแกะ หรือริ้วรอยที่เกิดขึ้นจากการใช้งาน ถ้าไม่รุนแรงจนลงลึกถึงเนื้อสีก็สามารถหายไปได้จากขั้นตอนนี้ และยังช่วยนำความเงางามกลับมาสู่สีรถได้อีกด้วย ซึ่งขั้นตอนนี้ควรทำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้งเพื่อไม่ให้ริ้วรอยมากเกินไปจนเกินเยียวยา ยังพอสามารถฟื้นฟูกลับมาให้เหมือนใหม่ได้
ความรู้สึกเหมือนใหม่จะกลับมาให้ผู้เป็นเจ้าของรถรู้สึกได้ทันทีหลังจากผ่านขั้นตอนการ Detailling นี้ บางคนอาจแย้งว่าเมื่อมันช่วยให้รถกลับมาดูใหม่ ลบริ้วรอยแล้วทำไมไม่ควรทำบ่อยๆ ละ ปีละสองครั้งไม่นานเกินไปหรือ? คำตอบคือ เพราะขั้นตอนนี้ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าการล้างเคลือบปกติธรรมดา จากรายละเอียดขั้นตอนการทำที่มากกว่า อีกทั้งการปัด ขัดสีบ่อยมากเกินไปก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป จะทำให้ชั้นแล็คเกอร์ที่พ่นเคลือบสีรถมาจากโรงงานหลุดออกไปด้วยจนส่งผลอาจทำให้ความเงางามของสีลดน้อยลง
การฟื้นฟูสภาพสีรถ ควรผ่านขั้นตอนจากมืออาชีพเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดต่อสีรถ
สรุปการดูแลความสะอาดรถในขั้นตอนต่างๆ ควรทำบ่อยแค่ไหน
การล้างควรทำสัปดาห์, สองสัปดาห์ต่อครั้ง หรือทันทีที่รู้สึกว่ารถสกปรกมากเกินไปแล้ว
ทำความสะอาดภายในควรทำสัปดาห์ละครั้ง หรือทันทีที่รู้สึกว่าภายในรถสกปรกมากเกินไปแล้ว
ลงแว็กซ์เคลือบสีควรทำทุกครั้งหลังจากล้างสีรถ เพื่อความเงางาม และปกป้องสีที่ดีกว่า
Detailling ควรทำปีละสองครั้ง เพื่อฟื้นฟูสภาพสีให้ริ้วรอยหายไป
เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ใครที่ปล่อยให้รถสกปรก สะสมคราบที่เสี่ยงต่อการทำลายความสวมงามของสี ก็รีบหยิบกุญแจขับรถไปล้างกันสักหน่อย อย่าปล่อยให้สีรถขาดการดูแลจนพาให้รถเก่าเร็วกว่าระยะเวลาจริงที่ใช้รถ อย่าขับอย่างเดียว ดูแลใส่ใจสภาพรถดวยเพื่อจะได้มีรถสวยๆ ขับไปได้นานๆ
ดูเพิ่มเติม