Five Fact : 5 ข้อดีข้อเสียต้องรู้ ก่อนซื้อของ Isuzu Mu-X

>> เอาล่ะสิ..ISUZU มือหนึ่ง กับ มือสอง จะเลือกแบบไหนดี ?
>> 5 อันดับแบรนด์รถกระบะขายดีที่สุดในไทย

การเติบโตเป็นอย่างมากของรถประเภท PPV ในโซนประเทศเอเชียแปซิฟิก เป็นจุดเริ่มต้นของการมาซึ่งกระบะดัดแปลงอย่าง Mu-X จากแพลตฟอร์มหนึ่งที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ของ D-Max สู่มาตรฐานใหม่ที่สูงกว่าในเวอร์ชั่นกระบะเดิมแบบ ๆ และความน่าสนใจของรุ่นนี้มีอะไรบ้างไปชมกัน

Five Fact : 5 ข้อดีข้อเสียต้องรู้ ก่อนซื้อของ Isuzu Mu-X

1. Mu-X มาตรฐานที่เหนือกว่าจาก Mu-7

หลายคนคงคุ้นเคยกันอยู่กับรูปโฉม PPV ที่มาจาก Isuzu อย่างในรุ่น Mu-7 และการมาของ Mu-X ที่เผยโฉมครั้งแรกในโลกเมื่อปี 2013 ณ โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ภายในงาน Tokyo Motor Show ก็สร้างแรงกระเพื่อมให้กับผู้สนใจได้ไม่น้อยโดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่นิยมในรถแบรนด์นี้ แต่ที่น่าสนใจคือ Mu-X กลับไม่มีจำหน่ายในญี่ปุ่นด้วยเหตุผลของเรื่องขนาดรถที่ใหญ่เกินไปจึงทำให้ภาษีของรุ่นนี้สูงเกินจะผลิตออกมาขาย  ส่วนที่มาของชื่อรุ่นกับความต้องการเปิดประสบการณ์ให้กับผู้ซื้อด้วยคำว่า Mu-X ก็ย่อมาจากคำว่า “Makes U eXciting” นั่นเอง  

โฉมเปิดตัวใหม่ ๆ เมื่อช่วงปี 2013-2014

Isuzu Mu-X ที่มีพื้นฐานจาก D-Max เวอร์ชั่นปัจจุบันนี้ถูกพัฒนาร่วมกันระหว่าง Isuzu กับ General Motors จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เมื่อคุณเห็น Isuzu Mu-X กับ Chevrolet Trailbrazer วิ่งมาคู่กัน อารมณ์ที่สื่อออกมาจากรถทั้งคู่จะไม่แตกต่างกันมากนัก ด้วยพื้นฐานของตัวรถหลายอย่างที่ใช้ร่วมกัน แค่ในเรื่องของความเป็นแบรนด์ บริการหลังการขาย และความมั่นใจของผู้ซื้อที่มีให้อย่างล้นหลามของในฝั่ง Isuzu จึงทำให้ Mu-X ได้เปรียบกว่า Chevrolet Trailbrazer เล็กๆ เท่านั้น 

>>> ดูเพิ่มเติมราคา Isuzu mu x 2019 มือสองที่มีขายในประเทศไทย

จนมาเป็นโฉมปัจจุบัน 2018 ของ Mu-X

2. เครื่องยนต์ 2 เกรดให้เลือกด้วยเช่นกัน

Mu-X (2018)มากับเครื่องยนต์ 2 ไซส์ สดใหม่หน่อยก็จะเป็นเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1.9L Ddi Blue Power 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 Nm พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 Speed ที่มีโหมด Rev Tronic ช่วยมอบความเร้าใจและสุนทรียภาพในการขับขี่ให้มากกว่า อีกทั้งยังมีทางเลือกของรุ่นเกียร์ธรรมดามาให้เลือกด้วย  

ส่วนเครื่องยนต์อีกขนาดกับความแรงที่มากกว่า เป็นรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 3.0L Ddi Blue Power 177 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 380 Nm ที่จะมีเฉพาะแต่แบบเกียร์อัตโนมัติ 6 Speed เท่านั้นให้เลือก ถ้าเน้นประหยัดกว่าการใช้งานครบทุกมิติรุ่น 1.9L จะตอบโจทย์กว่าด้วยอัตราสิ้นเปลืองในสภาวะรวมบน Eco Sticker อยู่ที่ 14.5 กิโลเมตรต่อลิตรสำหรับในรุ่นเกียร์ออโต้ ส่วน 3.0L ที่มีแต่แบบเกียร์อัตโนมัติมาให้เลือกนั้น อัตราสิ้นเปลืองในสภาวะรวมจะกินมากกว่านิดหน่อยที่ 13.9 กิโลเมตรต่อลิตร  ทางเลือกน้อยหน่อยสำหรับใครที่อยากได้รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อก็จะมีแต่เฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ 3.0L ให้เลือกเท่านั้น

เครื่องยนต์ 1.9L เล็กกว่า เรี่ยวแรงพอใช้งานแถวประหยัดกว่าอีกด้วย

3. ความสวยไม่ต่างจากตัวกระบะมากนัก 

ลืมภาพเก่าๆ ของความเป็นกระบะสู้ชีวิตใน D-Max ออกไปในสิ้น เพราะ Mu-X จะขายความเป็น “พรีเมี่ยม” ของตัวรถ ที่มากับรูปลักษณ์อันโดดเด่นภายใต้โฉม PPV เพื่อหวังเจาะกลุ่มตลาดลูกค้าที่สูงกว่า ภายนอกกับการตกแต่งที่เน้นมาซึ่งความมันวาวจากโคมเมี่ยมรอบคันพร้อมกับสีสันตัวถังรถที่ดู “ผู้ดี” อาจดูขัดกับจุดประสงค์ของประเภทรถที่มาในแบบรถตรวจการ แต่ก็ใช่ว่าคงที่ซื้อรถประเภทนี้จะต้องนำไปขับลุยอย่างเดียวเสียเมื่อไร จะเน้นเพื่อความเป็นรถครอบครัวก็ยังได้ แต่ถึงอย่างไรกับภายนอกที่แม้จะใส่เสริมเติมแต่งให้ดูหรูพรีเมี่ยมมากเท่าที่ทำได้ แต่ก็รู้สึกได้อยู่โดยเฉพาะที่ด้านหน้าว่าเหมือนตัวเวอร์ชั่นกระบะซึ่งโดยรวมแล้วเทียบกับคู่แข่งที่ทั้งขายดีกว่าอย่าง Fortuner และ Pajero Sport หรือขายได้สูสีอย่าง Everest, Isuzu Mu-X ดูจะสวยน้อยกว่าเพื่อนในคลาสเดียวอยู่ 

อารมณ์ที่ได้รับเมื่อมอง Mu-X ไม่ค่อยต่างจากกระบะสักเท่าไร

4. ภายในให้สัมผัสที่แตกต่าง

แตกต่างในเรื่องของชิ้นส่วนวัสดุต่างๆ แม้ดีไซน์จะไม่ต่างจากเวอร์ชั่นกระบะแต่ Mu-X มีดีที่การนำมาใช้ซึ่งวัสดุหรูหราหลายจุด ผิวสัมผัสแบบ Soft Touch จากวัสดุที่เป็นหนังเพิ่มความนุ่มนวลที่บริเวณคอนโซลหน้า แผงข้างประตูและที่พักแขน พรีเมี่ยมขึ้นด้วยลายไม้ “Fine Walnut” ที่บริเวณแผงข้างประตู หัวเกียร์ และคอนโซลหน้า สีดำเงาแบบ Piano Black ที่คอนโซลกลางและแผงควบคุมกระจกไฟฟ้า แถมยังมีส่วนของสีเงินโครเมี่ยมที่แผงคอนโซลกลาง หลากหลายอารมณ์ความพิเศษแห่งสัมผัสเพื่อช่วยให้ตัวรถดีหรูขึ้น  อีกทั่งตัวเบาะในแบบกึ่งหนังแท้ที่มากับดีไซน์ “Sport Cut” แบบรถยุโรปใน Mu-X นั้น นอกจากจะหรูหราดูดีกว่าในเวอร์ชั่นที่เป็นกระบะแล้วยังช่วยโอบรัดกระชับสัดส่วนทำให้นั่งสบายกว่าแม้ต้องนั่งไปในเส้นทางไกล ๆ ได้อีกด้วย 

ภายในดีไซน์ไม่เปลี่ยนแต่แน่นด้วยชิ้นส่วนตกแต่งที่หรูหรากว่าหลายประเภท

5. อ๊อพชั่นดูด้อยกว่าคู่แข่ง 

แม้จะติดโลโก้ Isuzu ชื่อชั้นความไว้วางใจในคุณภาพอาจเหนือกว่าคู่แข่งหลาย ๆ ค่ายก็จริง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Ford Everest หรือ Mitsubishi Pajero Sport แต่อย่าลืมว่าตลาดของรถประเภทนี้คนละตลาดกับแบบรถกระบะ รถราคาเกินล้านแน่นอนถ้าสิ่งที่ให้มากับรถดูไม่คุ้มค่าก็ยากที่จะดึงดูดให้ผู้ซื้อสนใจได้มากพอ ถุงลมแค่คู่หน้าคงไม่สร้างความประทับใจได้พอเมื่อเทียบกับตัวราคา ซันรูฟเปิดหลังคารับลมในวันสบาย ๆ ในการเดินทางก็ไม่มีมาให้ หรือจะเป็นระบบความปลอดภัยต่างๆ ที่ให้มาแค่พื้นฐาน ไม่มีเทคโนโลยี Active Safety อะไรเข้ามาช่วย ทั้งที่คู่แข่งก็มีมาให้แล้วแทบทั้งสิ้น  จะอ้างแค่ความเป็น Isuzu อย่างเดียวเพื่อช่วยให้ขายรถได้ในยุคนี้ที่ผู้ซื้อใช่ว่าจะอิงแค่เรื่องแบรนด์อย่างเดียวก็อาจจะยากสักหน่อย ถ้าไม่ใช่สาวกค่ายตรีเพชรตัวจริง รุ่นอื่นค่ายอื่นก็ดูได้เปรียบกว่าอย่างปฎิเสธไม่ได้ 

Mu-X เมื่อเทียบกับคู่แข่ง อ๊อฟชั่นอุปกรณ์ยังสู้ไม่ได้กับหลาย ๆ รุ่นคู่แข่ง

ดูเพิ่มเติม
>>>  เพื่อนบ้านเราก็มี! Isuzu D-Max X-Series เปิดตัวที่มาเลเซีย

>>> ดูรถ Mu-x มือสอง รุ่นอื่นๆ

และนี่คือทั้งหมดของ Chobrod Five Fact Isuzu Mu-X โฉมล่าสุดมีอะไรบ้างที่ถูกใจโดนใจคุณใน 5 ข้อนี้สำหรับรุ่นนี้และเพราะอะไร อย่าลืมบอกกับเราหน่อยที่คอมเม้นท์ด้านล่างนี้ได้เลย