เปรียบเทียบ Tesla Model 3 vs Nissan Leaf รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นไหนดี?

ประสบการณ์ซื้อขายรถยนต์ | 30 พ.ย 2561
แชร์ 5

หลังจากที่ Nissan Leaf ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน Motor Expo 2018 ไปแล้ว ทำให้ผู้คนหันมาสนใจรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นทั้งในส่วนของนิสสันเองและรุ่นอื่นๆด้วย วันนี้เราก็เลยจะนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นอื่นมาเปรียบเทียบให้ดูกันค่ะว่ารุ่นไหนจะดีกว่ากัน

เปรียบเทียบ Tesla Model 3 vs Nissan Leaf รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นไหนดี?

เปรียบเทียบ Tesla Model 3 vs Nissan Leaf รถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่นไหนดี?

โดยรุ่นที่เราจะนำมาเปรียบเทียบให้ดูนั่นก็คือ Tesla Model 3 รถยนต์พลังงานไฟฟ้าอีกรุ่นที่เป็นไฟฟ้าแบบเต็มตัวเช่นเดียวกัน ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่คุ้นเพราะยี่ห้อยังไม่เป็นที่นิยมในไทย แต่ต่างประเทศเขาเริ่มนิยมกันเยอะเลย เพราะ Tesla เป็นบริษัทของสหรัฐอเมริกาที่ออกแบบ ผลิตและจำหน่ายรถพลังงานไฟฟ้าและส่วนประกอบระบบส่งกำลังของยานพาหนะไฟฟ้า เทสลามอเตอร์สเป็นบริษัทมหาชน ซึ่งจะผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเป็นหลักนั่นเอง ทีนี้เรามาดูกันว่ารถยนต์ค่าย Nissan ที่เคยผลิตรถทั่วไปแล้วหันมาผลิตรถยนต์ไฟฟ้า กับค่ายรถ Tesla ที่ทำรถยนต์ไฟฟ้าอยู่แล้ว ค่ายไหนจะได้คะแนนไปมากกว่ากัน...

ภายนอกของ Tesla Model 3

ภายนอกของ Tesla Model 3 

1.เปรียบเทียบภายนอก

Tesla Model 3 ตกแต่งแบบสปอยเลอร์จากคาร์บอน-ไฟเบอร์ กระจกหลังคาแบบ Panoramic ยาวจากด้านหน้าจรดหลัง มิติตัวถังนั้นก็ไม่ได้เล็กมาก เพราะยาว 4,673 มม. กว้างถึง 1,932 มม. (ยังไม่รวมกระจกมองข้างด้วยซ้ำ) สูง 1,442 มม. ฐานล้อยาว 2,875 มม. และหนัก 1,603 กก. ในรุ่นย่อย Standard ส่วนรุ่นย่อย Long Range หนัก 1,730 กก. มีสีตัวถังมีเพียงสีดำเท่านั้นที่ไม่ต้องจ่ายเงิน แต่หากต้องการสีอื่น เช่น สีเงิน ซิลเวอร์ เมทัลลิก, สีเงิน มิดไนท์ ซิลเวอร์ เมทัลลิก, สีน้ำเงิน ดีพ บลู เมทัลลิก, สีขาวมุก มัลติ-โค๊ต และสีแดง มัลติ-โค๊ต ต้องจ่ายเพิ่ม 1,000 ดอลลาร์ (3.3 หมื่นบาท) เช่นเดียวกับล้ออัลลอยหากขนาดมาตรฐาน 18 นิ้ว ยังเล็กไปต้องการเพิ่มเป็นขนาด 19 นิ้ว ก็จ่ายอีก 1,500 ดอลลาร์ (50,000 บาท)

ภายนอกของ Nissan Leaf

ภายนอกของ Nissan Leaf 

Nissan Leaf ไฟหน้าใช้เป็นแบบ LED พร้อมระบบตรวจจับฝุ่น, ล้อเป็นอัลลอยขนาด 17 นิ้ว, กระจกรอบคันเป็นแบบเคลือบสีกันแสง, กระจกมองข้างพับไฟฟ้า, กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ, ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ กระจังหน้าทรง V-Motion สำหรับรถไฟฟ้าโดยเฉพาะ ตัวถังมีให้เลือกเพียงสีเดียว คือ สีขาว Brilliant White Pearl หลังคาดำ Super Black

สรุปเปรียบเทียบ ในส่วนของภายนอกก็จะเห็นได้ว่า Tesla Model 3 มีรูปทรงและการตกแต่งภายนอกที่สวยงาม เท่ และสปอร์ต ราวกับรถรถปอร์ตเลย และยังมีให้เลือกสีเลือกออปชั่นเพิ่มเติม แต่ก็ต้องเพิ่มเงินขึ้นมาเยอะเลยทีเดียว ส่วนของสีมาตรฐานก็ยังดูดีเช่นกัน ส่วน Nissan Leaf มีให้เลือกแค่สีเดียว แบบเดียว การตกแต่งก็เป็นเหมือนรถยนต์ทั่วไป ก็ถือว่าสวยแต่ยังไม่เท่าคู่แข่ง งานนี้เลยยกให้ Tesla ได้คะแนนไปค่ะ

ดูเพิ่มเติม
>> 
ปัญหาระบบสตาร์ทรถของ Nissan Leaf จะแก้ไขได้อย่างไรบ้างมาดูกัน
>> เปิดตัวแล้ว New Nissan Leaf รุ่นขายดีที่สุด ณ งาน Motor Expo 2018

ภายในของ Tesla Model 3

ภายในของ Tesla Model 

2.เปรียบเทียบภายใน

Tesla Model 3 ภายในก็ค่อนข้างเรียบง่ายและแผงหน้าปัดมีเพียงจอแสดงผลขนาด 15 นิ้ว ซึ่งใหญ่มากติดตั้งอยู่บริเวณตรงกลางสำหรับแสดงข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวรถรวมถึงแผนที่และระบบนำทาง กับพวงมาลัยทรง 3 ก้าน โดยรวม ๆ แล้วก็ไม่มีอะไรที่ดูฟุ่มเฟือยหรือหรูหรามากมายนัก เบาะก็เป็นเบาะผ้า ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมาตรฐานมีเพียง ระบบที่รองรับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทั้ง Wi-Fi และ LTE, กุญแจ Keyless และความคุมระบบปรับอากาศได้ผ่านแอพพลิเคชั่น (บนสมาร์ทโฟน), ระบบการสั่งงานอุปกรณ์ด้วยเสียง, ระบบปรับอากาศแบบ 2 โซน (Dual Zone Climate Control) และกล้องมองหลัง เป็นต้น

ส่วนที่เหลือเป็นออปชั่นในพรีเมียมแพ็กเกจ ราคา 5,000 ดอลลาร์ หรือราว 1.67 แสนบาท ก็จะได้ ระบบอุ่นเบาะ, แถบประดับลายไม้แบบโชว์ผิว (open pore wood decor), เบาะและแผงประตูหุ้มหนัง, เบาะคู่หน้าปรับไฟฟ้า 12 ทิศทาง, พวงมาลัยและกระจกมองข้างปรับไฟฟ้าที่สามารถบันทึกตำแหน่งของผู้ขับขี่ได้, ระบบเครื่องเสียงพรีเมียมรอบทิศทาง, หลังคากระจกที่กันแสงยูวีและอินฟาเรด, กระจกมองข้างที่ลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ พับไฟฟ้า และทำความร้อนเพื่อละลายหิมะหรือหยดน้ำได้, ไฟตัดหมอกแบบ LED รวมไปถึงคอนโซลกลางที่มีฝาปิดและช่องวางสมาร์ทโฟน

ภายในของ Nissan Leaf

ภายในของ Nissan Leaf 

Nissan Leaf ภายในห้องโดยสารติดตั้งเบาะนั่งหุ้มหนังสีดำตกแต่งด้วยสีฟ้า, เบาะนั่งฝั่งผู้ขับขี่ปรับสูง-ต่ำได้, Cruise Control, กุญแจ Intelligent Key พร้อมปุมสตาร์ท, เครื่องเสียงวิทยุหน้าจอสีขนาด 5 นิ้ว พร้อม Bluetooth/USB/AUX เป็นต้น

 ฝั่งผู้ขับขี่ติดตั้งหน้าจอสีแบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว สำหรับแสดงข้อมูลการทำงานของรถ รวมถึงหน้าจอกลางแบบ Flush Surface ที่สามารถแสดงการทำงานของระบบ Safety Shield, ระดับการชาร์จไฟ, พลังงานที่เหลือ, ระบบนำทาง และระบบเสียง เป็นต้น

สรุปเปรียบเทียบ ภายในมีการตกแต่งที่ไม่ได้แตกต่างกันมาก มาในโทนสีดำแบบเรียบๆ แต่ทางด้าน Nissan Leaf ให้เบาะแบบหนังมา และตกแต่งภายในด้วยสีฟ้า มีระบบภายในเกี่ยวกับการชาร์จไฟด้วย  ด้าน Tesla Model 3 มีข้อโดดเด่นตรงที่ต่อ WIFI ได้ และควบคุมการปรับอากาศผ่านแอพ ซึ่งเป็นความล้ำของเทคโนโลยี และถ้าเพิ่มเงินก็จะได้ออปชั่นต่างๆเพิ่มเติมเข้าไปอีกเยอะแยะมาก แต่นั่นก็ต้องจ่ายเพิ่มเป็นแสนเลยทีเดียว

Tesla Model 3 อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.

Tesla Model 3 อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.

3.เปรียบเทียบเครื่องยนต์

Tesla Model 3 จะสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลประมาณ 354 กม. ในรุ่นย่อย Standard และเกือบ 500 กม. ในรุ่นย่อย Long Range ส่วนอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. นั้นทำได้อยู่ประมาณ 5.1-5.6 วินาที แม้ว่าจะไม่หวือหวาแล้วในยุคนี้แต่ก็ถือว่าเร็วเหลือเฟือ

 ทั้งนี้หากต้องการระบบขับขี่อัตโนมัติ Autopilot ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 5,000 ดอลลาร์ หรือเกือบ 1.7 แสนบาท ซึ่งช่วยให้ Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ เปลี่ยนช่องทางการจราจรและถอยจอดรถได้อัตโนมัติ (แบบ Tesla Model S) รวมไปถึงสามารถดาวน์โหลดความสามารถใหม่ ๆ ได้อีกในอนาคต นอกจากนี้ Tesla ยังยืนยันว่า Tesla Model 3 ปี 2018 ใหม่ จะรองรับระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบได้ แต่อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายในการอัปเกรดประมาณ 3,000 ดอลลาร์ หรือราว 1 แสนบาท

Nissan Leaf สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 311 กิโลเมตร ต่อการชาร์จแต่ละครั้ง

Nissan Leaf สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 311 กิโลเมตร ต่อการชาร์จแต่ละครั้ง

Nissan Leaf ถูกติดตั้งขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า EM57 ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 7.9 วินาที สามารถขับขี่ได้เป็นระยะทาง 311 กิโลเมตร ต่อการชาร์จแต่ละครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC) 

สรุปเปรียบเทียบ ถ้าเป็นรุ่นมาตรฐานก็ทำได้พอๆกันในส่วนของของเครื่องยนต์ เพราะมาในอัตราเร่งที่เท่ากัน แต่ระยะทางการวิ่ง Tesla Model 3  จะได้มากกว่า และมีให้เลือกออปชั่นเพิ่มอีกเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Tesla Model 3 มีถุงลมนิรภัย 8 จุด

Tesla Model 3 มีถุงลมนิรภัย 8 จุด

4.เปรียบเทียบความปลอดภัย

Tesla Model 3 ความปลอดภัยที่ระบุไว้มีแค่ ถุงลมนิรภัย 8 จุด, ระบบเบรก ABS, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติและหลีกเลี่ยงการชนด้านหน้า, ระบบควบคุมการทรงตัว (Electronic stability) รวมถึงระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control) เป็นต้น

 Nissan Leaf 2019 มาพร้อมการรับประกันรถยนต์เป็นเวลา 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

 Nissan Leaf 2019 มาพร้อมการรับประกันรถยนต์เป็นเวลา 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

Nissan Leaf ยังติดตั้งระบบความปลอดภัยขั้นสูง เช่น ระบบป้องกันการชนด้านหน้า (FCW), ระบบเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ (Forward Emergency Braking), กล้องมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor), ระบบเตือนวัตถุเคลื่อนไหวรอบคัน (MOD) และระบบเตือนอาการเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ (Driver Alert Assist)

Nissan Leaf 2019 มาพร้อมการรับประกันรถยนต์เป็นเวลา 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร รับประกันระบบไฟฟ้ารถยนต์เป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และรับประกันการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร

สรุปเปรียบเทียบ เรื่องความปลอดภัยขอยกให้ Nissan Leaf เพราะจัดหนักจัดเต็มเรื่องนี้มาก แถมยังรับประกันให้ 3 ปี ประกันนู่นประกันนี่อีกเยอะแยะ รวมถึงมีศูนย์บริการให้อีก ความปลอดภัยภายในก็ค่อนข้างทำได้ดีเลยทีเดียว

Tesla Model 3 รุ่น Standard เริ่มต้น 1.16 ล้านบาท (ไม่รวมภาษี)

Tesla Model 3 รุ่น Standard เริ่มต้น 1.16 ล้านบาท (ไม่รวมภาษี)

Nissan Leaf ราคา 1,990,000 บาท

Nissan Leaf ราคา 1,990,000 บาท

5.เปรียบเทียบราคา

Tesla Model 3 รุ่น Standard เริ่มต้น 1.16 ล้านบาท กับ Long Range ราคา 1.46 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษี)

Nissan Leaf ราคาอยู่ที่ 1,990,000 บาท

สรุปเปรียบเทียบ ราคาเบื้องต้นถ้า Tesla Model 3 ในรุ่นมาตรฐานมีการบวกเพิ่มภาษีเข้าไป อาจจะเท่ากับของ Nissan Leaf ก็คงจะพอๆกัน แต่จะเห็นได้ว่า เราจะต้องเพิ่มเงินอีกเยอะมาก หากอยากได้ Tesla Model 3 ในรุ่นที่ดีกว่าเดิม

สรุปว่า ควรเลือก Nissan Leaf ถ้าจะใช้งานในประเทศไทย

สรุปว่า ควรเลือก Nissan Leaf ถ้าจะใช้งานในประเทศไทย

สรุปเลยแล้วกันนะคะว่า ถ้าในเรื่องของประสิทธิภาพ การตกแต่งต่างๆและทางเลือกในการเพิ่มออปชั่น Tesla Model 3 ได้คะแนนไป แต่ถ้าเทียบกันในรุ่นมาตรฐานกับ Nissan Leaf ที่มีให้เลือกแค่แบบเดียว มันก็สเปคเท่าๆกันเลย เพราะสิ่งที่ Tesla Model 3 แบบมาตรฐานมี นิสสันก็มีเช่นเดียวกัน บางอย่างอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ แถมนิสสันยังมีศูนย์บริการที่แน่นอนให้บริการ  มีรับประกันให้อีกเยอะแยะมากมาก เราเลยคิดว่าใครที่จะซื้อใช้งานในประเทศไทย ยังไงก็ต้องยกให้ Nissan Leaf อยู่แล้ว เพราะไม่ต้องไปจ่ายเพิ่ม ราคาเท่านี้ ออปชั่นเท่านี้ จบ.. ก็ได้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าไปขับได้เลย ส่วน Tesla Model 3 คงจะต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับคนที่อยากได้ออปชั่นเยอะๆ มีตังค์ไปจ่ายและมีตังค์รักษาเท่านั้นค่ะ

เป็นยังไงบ้างคะกับเปรียบเทียบรถยนต์ไฟฟ้าที่เรานำมาเสนอกันให้ทุกคนได้ทราบและได้ข้อมูลไปตัดสินใจกัน หวังว่าจะช่วยได้ไม่มากก็น้อยเนอะ ใครที่สนใจยังไงก็อย่าลืมไปดูรถจริงของ Nissan Leaf ได้ที่งาน Motor Expo 2018 ได้นะคะ คราวหน้า Chobrod.com จะมีอะไรมาฝากทุกคนอีก ติดตามกันไว้ดีๆนะ

ดูเพิ่มเติม
>> Nissan Leaf มือสองน่าซื้อไหม???
>> 5 ข้อเสียรถยนต์ไฟฟ้า ที่หลายคนคิดไม่ถึง!!!​

ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่  
ต้องการซื้อรถมือสองสภาพดี เชิญเข้าดูที่ตลาดรถตรงนี้

แท็ก Tesla Model 3