หลายประเทศในยุโรปมีแผนที่จะยกเลิกการสนับสนุนรถยนต์ที่เผาผลาญพลังงานน้ำมันและก้าวเข้าสู่ยุครถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวในช่วงปี 2025 ถึง 2040 แต่ Volkswagen จะไม่ยอมหยุดแค่นั้น รถใช้น้ำมันก็ยังคงทำต่อไป
รถยนต์ไฟฟ้านับว่าเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ที่กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ไปจากเคย ด้วยข้อดีตรงที่ไม่ปล่อยก๊าซพิษออกมาทำลายสิ่งแวดล้อม ทำให้ประชาชนในสังคมนั้นๆมีอากาศบริสุทธิ์ขึ้นอย่างแน่นอนถ้ารถทุกคันที่วิ่งอยู่ไม่ปล่อยไอเสียออกมา และตอนนี้มันก็เหมือนกับจะมาถึงยกสุดท้ายของรถยนต์สันดาบภายในที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงแล้ว เพราะว่าหลายๆประเทศในยุโรปก็มีการประกาศผ่านสื่อต่างๆ หรือเรียกง่ายๆว่า "แบน" รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้
ยกเลิกการใช้รถยนต์ที่เผาผลาญน้ำมัน
รัฐบาลหลายประเทศในยุโปรมีวิสัยทัศน์แล้วว่า รถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบันก็มีมากขึ้นและคนก็เริ่มจะนิยมมากเป็นเงาตามตัว บริษัทผู้พัฒนารถยนต์ต่างๆก็สามารถทำรถยนต์ไฟฟ้ามาตอบรับความต้องการของลูกค้าได้แล้วด้วย ถ้ายังไม่ทำอะไร สุดท้ายบนท้องถนนก็จะมีทั้งรถยนต์ที่ใช้น้ำมันและรถยนต์ไฟฟ้า อากาศก็ยังเป็นพิษอยู่ดีแม้จะน้อยลงก็ตาม ทำอย่างไรจึงจะทำลดมลพิษทางอากาศจากอุตสาหกรรมรถยนต์ได้อย่างแท้จริง ก็ประกาศไปเสียเลยว่าหลังจากปี 2025 แล้วจะไม่มีรถยนต์ที่เผาไหม้ด้วยการสันดาบภายในแบบใช้น้ำมันอีกต่อไป ประเทศที่ประกาศออกมาแล้วชัดๆก็อย่างเช่นประเทศนอเวย์ที่ตั้งเป้าที่ปี2025 ประเทศฝรั่งเศสตั้งเป้าที่ปี2040 และสหราชอาณาจักรที่ตั้งเป้าที่ปี2050 เป็นต้น การออกมาประกาศแนวทางนโยบายของประเทศต่างๆเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทรถยนต์แน่นอน เพราะว่าการทำงานต่างๆ การวางแผนที่เคยวางไว้ว่าจะทำเครื่องยนต์ที่ใช้ออกมาได้เป็นระยะเวลากี่ปีเป็นอันต้องสิ้นสุดลงและเอาทรัพยากรทั้งแรง กำลัง และเวลาหันไปพัฒนามอเตอร์ไฟฟ้า หรือทุกสิ่งทุกอย่างที่รถยนต์ไฟฟ้าจะต้องใช้ (ผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันก็อาจจะโดนห้ามขายอยู่ดี) เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น ก็อาจจะกลายเป็นผู้ตามบริษัทรถยนต์อื่นๆที่มุ่งเน้นทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียว
รถยนต์ไฟฟ้าผู้เปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมรถยนต์และโลก
น้ำมันเหลือ
เมื่อทั้งโลกหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันหมด แล้วน้ำมันจะขายใคร? สำหรับน้ำมันที่ใช้โรงงานอุตสาหกรรมสำหรับเดินเครื่องจักรต่างๆก็ยังคงมีต่อไป แต่สัดส่วนความต้องการใช้น้ำมันของทั้งโลกจะต้องลดลงอย่างแน่นอน เมื่อน้ำมันเหลือใช้ราคาก็คงถูกลงแน่ๆ ประเทศผู้ส่งออกน้ำมันจะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบ เพราะแม้ว่าน้ำมันใต้พื้นพิภพจะยังมีให้เหลือใช้ได้อีกราวๆ50ปีนับจากนี้ แต่รถยนต์ไฟฟ้าทั่วทั้งโลกจะมาเร็วกว่านั้น ประเทศผู้ผลิตน้ำมันคงต้องหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นรายได้เข้าประเทศต่อไป
การขุดน้ำมันแบบนี้คงน้อยลงเรื่อยๆในประเทศแถบคาบสมุทรอาระเบีย ประเทศที่น่าจะได้รับผลกระทบจากการหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า
ดูเพิ่มเติม
>> Porsche เลิกผลิตเครื่องดีเซล ทุ่มงบ 6,000 ล้านยูโรมุ่งพัฒนารถไฟฟ้าเพื่ออนาคต
>> Volkswagen T-Roc เตรียมเปิดตัวปีหน้า พร้อมขายจริงในปี 2020
Volkswagen ไม่ยอมหยุด
ล่าสุด บริษัทยักษ์ใหญ่ในการผลิตรถยนต์ Volkswagen ก็มีการออกมาประกาศถึงแนวทางในการทำธุรกิจแล้ว ว่าพวกเราจะยังคงสร้างรถยนต์ที่ใช้พลังงานน้ำมันและสันดาบภายในต่อไปหลังปี 2026 นาย Frank Welsch หัวหน้าฝ่ายเทคนิคของ Volkswagen กล่าว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ก็มีวี่แววว่าจะไม่ทำแล้ว และก็ยังบอกอีกว่าอย่างไรก็ตามก็จะโฟกัสไปที่การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อทำตลาดในยุโรปเป็นหลักด้วย (แต่เรื่องเครื่องยนต์ที่ทวีปอื่นก็ไม่ทิ้ง)
Volkswagen รถยนต์ไฟฟ้าก็ผลิตได้ รถยนต์ใช้น้ำมันก็ยังไม่วางมือ
มาขยายความกันให้ชัดๆเพื่อให้ชาวโลกเข้าใจก็คือ หลังปี2026ไม่ใช่ว่าจะเลิกการผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์พลังงานน้ำมันทันที แต่จะค่อยๆทำน้อยลงๆ จากคำกล่าวอีกคำหนึ่งของ นาย Michael Jost หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์บริษัท Volkswagen ที่งาน Handelsblatt automotive summit ในเมือง Wolfsburg เมื่อไม่นานมานี้ที่ว่า วิศวกรของพวกเราจะยังคงทำงานต่อไปบนเครื่องยนต์รุ่นสุดท้ายสำหรับรถยนต์และค่อยๆลดการผลิตและพัฒนาลงไปเรื่อยๆจนกลายเป็นเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่หลังจากปี2026การผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์รุ่นสุดท้ายจะเริ่มต้นขึ้น ดังนั้นจึงมีการเปรยๆออกมาว่า “มันไม่ถูกต้องเท่าไรที่จะบอกว่าพวกเรา(Volkswagen)จะหยุดพัฒนารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์และน้ำมันหลังปี2026” นอกจากนั้นทาง Volkswagen ยังกล่าวอีกว่า ผู้คนทั้งโลกกำลังพูดกันอย่างหนาหูว่าตั้งแต่ปี 2040เป็นต้นไป จะหยุดการขายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันอย่างจริงจังในยุโรป แต่ยุโรปไม่ได้เป็นทวีปเดียวที่ขายรถยนต์ ทวีปอื่นๆพื้นที่อื่นๆก็มีกฎหมายในแบบของพวกเขา นั่นหมายความว่าทวีปอื่นก็อาจจะยังคาดหวังการพัฒนาเครื่องยนต์พร้อมการใช้น้ำมันที่ดียิ่งๆขึ้นไป
วิสัยทัศน์ใครจะถูกต้อง
นาย Welsch ยังให้ความเห็นอีกว่า “ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นไปได้เลยที่จะหยุดพัฒนารถยนต์ใช้น้ำมันไปดื้อๆ เพราะว่าในทางปฏิบัติ ด้านกฎหมายต่างๆที่ค่ายรถยนต์ยังต้องพัฒนาเครื่องยนต์ให้ได้ตามมาตรฐานและรองรับกฎหมายของประเทศนั้นๆ ขณะที่ยุโรปและจีนกำลังพยายามผลักดันกฎหมายที่จะเป็นแรงขับไปสู่สังคมรถยนต์ไฟฟ้า แต่รถยนต์ที่ใช้น้ำมันโดยเฉพาะน้ำมันดีเซลยังคงเป็นที่ต้องการของประเทศที่กำลังพัฒนา ประเทศที่ระบบโครงสร้างพื้นฐานอย่างสถานีชาร์จไฟยังไม่เป็นรูปร่างเด่นชัด" ฟังๆแล้วเขาก็ดูเหมือนจะพูดถูก แต่ก็ไม่มีใครบอกได้แน่ชัดว่าประเทศกำลังพัฒนาเกิดวันนั้นอยากจะเอาอย่างประเทศพัฒนาแล้ว มีเอกชนเข้ามาลงทุนทำสถานีชาร์จไฟขึ้นมา Volkswagen ก็อาจจะตามแบรนด์อื่นไม่ทันก็ได้
สถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าจะยังเป็นปัญหาของประเทศกำลังพัฒนา
Volkswagen มีความพยายามมาตลอดที่จะโยกย้ายตัวเองเข้าสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้าตลอดในช่วง2ปีหลังมานี่ และก็คงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากธุรกิจในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่คู่แข่ง บริษัทต่างๆพยายามที่จะทำลายกำแพงที่เป็นไปไม่ได้กำแพงแล้วกำแพงเล่า เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่จะต่อสู้กับสภาวะโลกร้อนอย่างแท้จริง เมื่อปี 2017 Volkswagen Group ที่ประกอบไปด้วย Audi, Porsche, Seat และ Skoda กล่าวว่าพวกเขาได้ลงทุนไปราว 1.2ล้านล้านบาท ในด้านการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไร้คนขับ รวมไปถึงทุกเทคโนโลยีที่จะใช้ในราวปี 2022 นั่นคือหลักฐานที่แสดงว่าพวกเขาก็ยังคงตามตลาดอย่างไม่หยุดและก็ไม่ทิ้งรถยนต์สันดาบด้วยเชื้อเพลิงน้ำมันไว้เบื้องหลัง
Volkswagen นับว่าเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ และต้องการควบคุมทุกอย่างให้อยู่ในการควบคุมของตัวเองให้ได้ จับทางทุกทางที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่เสี่ยงไปพัฒนาอะไรแต่เพียงอย่างเดียว และยังมีการร่วมมือกันภายในกลุ่มบริษัทของตัวเองจากเม็ดเงินมหาศาลอีกด้วย ทำให้พวกเขามีทรัพยากรมากพอที่จะพัฒนาทุกเทคโนโลยีที่โลกอนาคต, ตลาดในอนาคตหรือแม้แต่ลูกค้าในอนาคตต้องการ
ดูเพิ่มเติม
>> Volkswagen เรียกคืนรถยนต์ 75,000 คัน หลังพบข้อผิดพลาดที่ร้ายแรง อาจเสียชีวิตได้ ของระบบเข็มขัดนิรภัย
>> เผยโฉม Tarok กระบะแห่งยุคดิจิตอล ของ Volkswagen
ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่
ต้องการซื้อรถกระบะมือสองสภาพดี เชิญเข้าดูที่ตลาดรถตรงนี้