ในตอนที่สองของการส่องโฆษณา ครั้งนี้จะมาเปรียบเทียบจุดขายแต่ละประเทศของรถครอสโอเวอร์ใหม่ถอดด้ามจาก Toyota ที่ทำให้ลูกค้าไทยสั่งจองกันอย่างไม่ขาดสาย
Toyota C-HR 2018
Toyota C-HR เป็นรถประเภทคอมแพ็กท์ครอสโอเวอร์ SUV ที่เปิดตัวที่ญี่ปุ่นตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2016 จนถึงตอนนี้คาดว่ามียอดขายทั่วโลกมากกว่าสองแสนคัน ก่อนจะมาเปิดตัวที่เมืองไทยระหว่างงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป 2017 ที่ผ่านมา และนี่คือจุดขายของ CH-R เมื่อเราดูจากโฆษณาดังต่อไปนี้
อ่านเพิ่มเติม:
ที่น่าแปลกใจคือแม้ตัวรถจะเปิดตัวไปตั้งนานดังกล่าวข้างต้น แต่โฆษณาทางทีวีจริงๆ เพิ่งปล่อยเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2018 นี้เอง ตัวโฆษณาใช้สุดยอดเพลงฮิตปี 2011-12 อย่าง Can't Hold Us จาก Macklemore และไรอัน ลูอิส โดยมีแบ็คกราวด์เป็นสนามบิน (ซึ่งไม่มั่นใจจริงๆ ว่าถ่ายทำในสถานที่จริงหรือใช้สตูดิโอกลางแจ้ง) โฆษณานี้แสดงสมรรถนะในการขับขี่รอบๆ สนามบิน เลี้ยวเลาะไปตามกล่องบรรทุกสินค้า และลอดเครื่องบินโชว์ด้วย แล้วยังใช้โอกาสนี้ประกาศศักดาว่านี่คือรถ SUV อันดับ 1 ของญี่ปุ่นปี 2017 เห็นแล้วว่าประสิทธิภาพของรถมันยอดเยี่ยมจริงๆ โดยเฉพาะการควบคุมที่ตอบสนองอย่างใจจนไม่ต้องกลัวว่าจะชนอะไรรอบๆ
C-HR ออกสูู่สายตาประชาชนแดนเมเปิ้ลเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2017 ด้วยสโลแกน 'Breakthrough' ฉีกการใช้ชีวิตเดิมๆ ในชุมชนกับโฆษณาแสนสั้น สั้นมากเมื่อว่ากันในแง่ของรถเปิดตัวใหม่ เพราะยาวแค่ 15 วินาที แต่ตีความง่ายๆ ไม่ซับซ้อน
C-HR มาถึงแดนผู้ดีเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2017 ด้วยสโลแกน Perfect Flow สวยจนต้องมองทั้งเมือง จุดขายเน้นภายนอกเป็นส่วนใหญ่ถึงขนาดเห็นภายในห้องโดยสารแค่ 2-3 วินาทีเท่านั้น ก่อนที่โฆษณาตัวนี้จะถูกใช้อีกครั้งที่ตุรกีซึ่งมีโรงงานที่ส่งออก C-HR ไปสหรัฐฯ ส่วนโฆษณาของอิตาลีดึงบางส่วนของอังกฤษมา แล้วถ่ายเพิ่มเข้าไปอีกที
แดนจิงโจ้ได้สัมผัส C-HR ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม 2017 โฆษณาชุดนี้ทำออกมาสองตอนในหัวข้อ C-HR vs The City เพื่อแสดงความสามารถที่อยู่ในตัวรถออกมาอย่างเต็มที่ คลิปแรกเป็นส่วนของสมรรถนะผ่านการทดสอบสองด่านคือ ด่านประตูหมุน สื่อถึงการจราจรตามสี่แยก ที่แสดงถึงการเดินทางบนท้องถนนที่หายห่วงและประหยัดน้ำมัน และอีกด่านคือ ลูกโป่งข้ามถนน สื่อถึงชั่วโมงเร่งด่วนที่ต้องเจอผู้คนข้ามถนนไปมา แต่ C-HR ก็มีระบบการควบคุมรถที่ตอบสนองทันทีทำให้หายห่วงเช่นกันว่าจะไม่ต้องปะทะกับผู้คนหรือรถที่สวนไปมา คลิปที่สองเป็นส่วนของเทคโนโลยีความปลอดภัยในรถ ประกอบด้วย ระบบแจ้งเตือนการจราจรท้ายรถ, ระบบแจ้งตกเลนถนน, ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ และกล้องมองท้ายรถ ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ว่าจะได้รับความปลอดภัยอย่างสูงสุด
C-HR มาถึงแดนกระทิงดุในวันที่ 11 ตุลาคม 2017 แต่ตัวโฆษณาถือเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ #ConduceComoPiensas (ขับได้ดั่งใจคิด) โดยเล่าเรื่องผู้ชายวัยทำงานคนหนึ่งกับประโยคที่ถามคนดูตลอดเวลาว่า "คุณคิดว่า...?" ก่อนจะจบที่ว่า Toyota พัฒนาโลกได้โดยการขายรถไฮบริดและจะทำทุกคันให้เป็นไฮบริดในปี 2022 ไม่จำเป็นต้องขายรถ แต่ขายภาพลักษณ์บริษัทไปเลย เล่นระดับมหภาคมันนี่ล่ะ
C-HR มาถึงแดนน้ำหอมเป็นประเทศแรกของปี 2018 ในวันที่ 2 มกราคม โฆษณาตัวนี้พยายามจะสื่อว่า C-HR นั้นเหมาะกับทุกคนด้วยคีย์เวิร์ดว่า Nous Choisissons L'Hybride (เราเลือกไฮบริด) เป็นการแสดงถึงว่าชาวฝรั่งเศสพร้อมจะปรับตัวจากรถใช้น้ำมันเป็นรถไฮบริดเพื่อสิ่งแวดล้อมแล้ว
หนึ่งวันต่อมา C-HR ถูกเปิดต่อทันทีที่เกาะไต้หวัน แต่ใช้โฆษณาที่เล่นใหญ่เข้าว่า เหมือนต้องการสื่อว่าช่วงล่างของรถดีมากถึงขนาดไต่ตึกแล้วบินข้ามไปอีกตึกได้สบาย อันนี้ไม่แนะนำให้ทำตามนะ เพราะถ้าพลาดก็อาจเหมือนกับขับรถแหกลานจอดรถตกตุ๊บนั่นแหล่ะ
ชาวอเมริกันกว่าจะได้สัมผัส C-HR ต้องรอจนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2018 เลยทีเดียว ปกติรถมีไว้ให้หนุ่มขับโชว์สาว แต่ใช้ไม่ได้กับโฆษณานี้ที่สาวๆ จอดรถให้หนุ่มมอง เพราะ C-HR เหมาะกับทุกเพศจริงๆ แต่ว่าระบบแจ้งเตือนตกเลนที่ถูกใช้นำเสนอด้วยถือว่ายังไม่โดดเด่นเท่าไร
แม้จะเปิดตัวตั้งแต่งานมอเตอร์ เอ็กซ์โปเมื่อเดือนพฤศจิกายน แต่กว่า Toyota ประเทศไทยจะประกาศราคาต้องรอถึงวันที่ 12 มกราคม ก่อนที่โฆษณาจะถูกเปิดตัวเมื่อ 2 มีนาคมนี้เอง ตัวโฆษณาว่าด้วยรูปลักษณ์ภายนอกทีี่เหมาะกับคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะนักธุรกิจไฟแรง (ขนาดดนตรีในโฆษณายังค่อนไปทาง EDM ด้วยซ้ำ) ซึ่งแตกต่างจากบางส่วนข้างต้นที่พยายามจะขายทุกเพศทุกวัย กับสโลแกน Irresistable หมายถึง สวยจนหยุดละสายตาไม่ได้
เมื่อเรามองไปที่จุดขายที่ประเทศส่วนใหญ่มีเหมือนกันย่อมหนีไม่พ้นดีไซน์ของตัวรถที่ทำให้คนรอบๆ ต้องหันคอตาม ด้วยรูปลักษณ์ที่เท่ไม่เหมือนใคร และเหมาะกับผู้ใช้ทุกเพศจริงๆ แต่เรื่องของสมรรถนะและการใช้งานอยากให้ไปดูของออสเตรเลียที่ทำให้รู้สึกว่าขับแล้วปลอดภัยอุ่นใจแน่นอน สนใจไปดูได้ที่โชว์รูม Toyota กับราคาเริ่มต้นไม่ถึงหนึ่งล้านบาท ถือเป็นราคาที่น่าจับต้องได้จริงๆ สำหรับรถประเภทนี้