เหตุผลที่ Toyota C-HR ควรเป็นรถ Hybrid คันแรกสำหรับคุณ

ประสบการณ์ซื้อขายรถยนต์ | 3 มี.ค 2561
แชร์ 10

เผยโฉมพร้อมให้จองเป็นน้ำจิ้มตั้งแต่ปลายปีที่แล้วสำหรับ Toyota C-HR จนตอนนี้ใกล้ที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พร้อมรุ่นย่อยที่มีระบบไฮบริด ถูกจัดไว้เป็นรุ่นท็อป ซึ่งดูเหมือนว่าราคากับสิ่งที่ Toyota ให้มาในรุ่นไฮบริดนั้นน่าสนใจที่จะให้ C-HR รุ่นนี้เป็นรถไฮบริดคันแรกสำหรับทุกคนจริงๆ

เหตุผลที่ Toyota C-HR ควรเป็นรถ Hybrid คันแรกสำหรับคุณ

เราไปดูกันดีกว่าว่าทำไมรุ่นไฮบริดใน Toyota C-HR นั้นถึงน่าซื้อกว่า ข้อดีต่างๆ ของรุ่นนี้มีอะไรบ้าง Chobrod ขออาสาพาไปชมเหตุผลที่จะทำให้ Toyota C-HR ควรเป็นรถ Hybrid คันแรกสำหรับคุณ

ดีไซน์สวยจนไม่รู้สึกว่าเป็นรถไฮบริด

หลายคนน่าจะยังจำ Prius หรือ Camry Hybrid กันได้บ้าง ที่ทาง Toyota ผลิตรถยนต์ประเภทนี้ออกมาแต่ละรุ่น มักจะใช้ความเป็นรถกึ่งระบบขับเคลื่อนทั้งการใช้เครื่องยนต์เบนซินปกติ และมอเตอร์ไฟฟ้ามาเป็นจุดขาย ผนวกกับดีไซน์ที่ทำออกมาจนดูล้ำเกินไปจนไปกระตุ้นต่อมความกลัวในเรื่องเทคโนโลยี หรือเรื่องการใช้ระยะยาว จนไม่กล้าที่จะซื้อรถรุ่นนั้นๆ แต่ Toyota C-HR แตกต่าง กับดีไซน์ภายนอกที่โดดเด่นจนถึงขีดสุด ส่วนว้าวส่วนโค้งลงตัวในทุกจุด นอกจากความล้ำสมัยที่เห็นทันทีในวินาทีแรกที่มอง ยังแอบซ่อนความดุ ก้าวร้าวไว้ภายในอย่างน่าเกรงขาม

Toyota C-HR มอบความรู้สึกของรถยุโรปอย่างพวก Jaguar Land Rover ออกมาได้ไม่น้อย  พร้อมสุนทรียภาพในการออกแบบด้วยหลังคาที่ลาดชันลงไปด้านหลังจนถึงด้านล่างชัดเจน พร้อมเส้นสายด้านข้าง ส่วนเว้า ส่วนโค้งที่ลงตัวให้อารมณ์แบบรถยุโรป จนแฟนๆ ของรถค่ายสามห่วงทั่วโลกถึงกับประหลาดใจกับความงามที่ออกมาในรุ่นนี้ ซึ่งไม่มีใครคิดว่า Toyota จะทำออกมาได้

ฐานล้อมีความยาวอยู่ที่ 2640 mm. ซึ่งยาวกว่า Nissan Juke ซึ่งเป็นรถในประเภทเดียวกันถึง 10 เซ็นติเมตร ผลักใน Juke กลายเป็นรถที่มีขนาดเล็กสุดใน Segment ไปเลย ความกว้างอยู่ที่ 1795 mm. ไม่ห่างกับรถหรูระดับ 4-5 ล้านอย่าง Range Rove Evoque (1900 mm.) มากนัก แต่ไม่ว่า Toyota C-HR คันนี้จะมีมิติอย่างไรเท่าไร ความโดดเด่นของรุ่นนี้เมื่อยามวิ่งบนถนนคงเป็นการยากที่จะห้ามใจไม่ให้มอง

ดีไซน์สวยไม่รู้สึกว่าเป็นรถไฮบริดเลยแม้แต่น้อย สำหรับ Toyota C-HR

ยิ่งมองเข้าไปในรถจะพบกับความรู้สึกสะดวกสบาย และกว้างขวางที่มอบให้มากกว่าในรถระดับเดียวกัน ทั้งแผงแดชบอร์ด และระบบ Infotainment มากมาย เมื่อมองที่รายละเอียด C-HR จัดวางปุ่มต่างๆ ไว้ให้อย่างครบครัน พร้อมสำหรับทุกคนในแต่ละตำแหน่งการนั่งได้ใช้งาน และเมื่อมองที่การดีไซน์ภายใน C-HR จะมอบอารมณ์สปอร์ตคล้ายกับว่าผู้ขับขี่กำลังนั่งอยู่บนซูเปอร์คาร์คันแพง คอนโซลกลางด้านหน้าถูกทำให้สูงขึ้นเพื่อสัดส่วนของผู้ขับขี่ และผู้โดยสารที่ชัดเจน ตัดด้วยเส้นสีเรืองแสงคาดจากประตูฝั่งผ่านคอนโซลถึงอีกฝั่ง ยิ่งช่วยทำให้ภายในดูกว้าง และล้ำสมัยขึ้นไปอีก

ภายในก็ล้ำสมัยไม่แพ้ภายนอก

มันเต็มไปด้วยเทคโนโลยีความล้ำสมัย

มันคงจะแปลกไม่น้อยถ้า Toyota ไม่จัดเต็มในความล้ำสมัยให้กับรถที่ดีไซน์ทั้งภายใน และภายนอกออกมาสวยล้ำยุคขนาดนี้ จึงกลายมาเป็นหนึ่งในข้อเด่นของ Toyota C-HR  ที่ได้จัด อัดแน่น ไปด้วยเทคโนโลยีต่างๆ มากมายที่รถยุคนี้ควรมี สมน้ำสมเนื้อกับราคาที่ตั้งออกมา

มองที่รุ่นย่อยในแบบไฮบริด ระบบความบันเทิงแบบครบวงจรถูกจัดไว้ให้ทั้งสำหรับผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร หน้าจอขนาด 8 นิ้วถูกติดตั้งไว้ตรงกลางใช้งานง่าย มองได้ชัดเจน ซึ่งภายใต้ระบบ infotainment นี้มีทั้งระบบนำทาง Navigator และระบบเชื่อมต่อ T-Connect TELEMATICS เข้ามาช่วยทั้งในด้านความปลอดภัย และความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Parking Alert, Find My Car, Stolen Vehicle Tracking, SOS Emergency Service

เทคโนโลยีมากมายถูกจัดไว้ในรุ่น Top

คุณลักษณะที่มีประโยชน์มากที่สุดในรถราคาระดับนี้ต้องมีคือระบบความปลอดภัยช่วยเตือนก่อนการชน และช่วยเบรกอัตโนมัติ (Pre-Collision System) ถ้าเป็น SUV ที่ใหญ่กว่าเช่น Mazda CX-5 อาจฟังไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไร แต่ถ้าบอกว่าเป็นรุ่นแรกของ Segment Crossover SUV ที่มีระบบความปลอดภัยนี้ละ คงทำให้ C-HR น่าสนใจกว่ารุ่นอื่นๆ แน่นอน นอกจากนี้ยังมีทุกองค์ประกอบพื้นฐานที่รถเมืองไทยควรมี และกำลังจะเป็นพื้นฐานให้รถในอนาคตอีกหลายระบบ เช่นระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงพวงมาลัยอัตโนมัติ Lane Departure Warning With Steering Assist, ควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Dynamic Radar Cruise Control, ปรับไฟสูงอัตโนมัติ Automatic High Beam Control ซึ่งมีอยู่ในรุ่นท็อปไฮบริดของ Toyota C-HR

เป็นรถไฮบริดที่ประหยัดมาก

การเดินทางของคุณเมื่อเลือกใช้ Toyota C-HR จะพบกับความประหยัดที่ไม่เคยได้รับมาก่อนในรถยุคนี้ ซึ่งหลังจากหลายประเทศทั่วโลกแสดงเจตนารมณ์อย่างจริงจัง และสั่งห้ามขายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน และดีเซลภายในปี 2040 ทำให้ผู้ผลิตหลายค่ายมุ่งหน้าไปที่ระบบขับเคลื่อนทดแทนอย่างมอเตอร์ไฟฟ้า และระบบไฮบริดที่ทำงานร่วมกับเครื่องยนต์นี้แหละคือจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านสำหรับยานพาหนะของโลกอนาคต

นอกจากเรื่องหลักๆ ในด้านมลพิษที่ทำให้หลายประเทศทั่วโลกต่างหันมาสนใจเร่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบการขับเคลื่อนที่ใช้เครื่องยนต์ มาเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าปล่อยมลพิษเป็นศูนย์แล้ว ความประหยัดคือปัจจัยหลักในการดึงดูดให้คนหันมาใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนแทนน้ำมัน สำหรับในแง่ของประชากรที่ไม่เหลียวแลว่าภาวะเรือนกระจกว่าจะวิกฤติแค่ไหน เหตุผลเริ่มแรกจนอาจจะเป็นเหตุผลหลักในตอนนี้ที่จะทำให้คนหันมาสนใจซื้อรถไฮบริด นั่นคือความประหยัดที่มากกว่าเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซล พลังขับเคลื่อนที่ถูกผลักดันด้วยกระแสไฟฟ้า ซึ่งสร้างขึ้นได้เองในขณะที่รถขับเคลื่อนเพื่อเป็นลดการพึ่งพาเชื้อเพลิง และปล่อยมลพิษน้อยกว่า นั่นหมายความว่าถ้าคุณเลือกใช้ Toyota C-HR ในรุ่นไฮบริดจะได้อัตราการสิ้นเปลืองเชื้องเพลิงที่ดีกว่าใช้เลือกรุ่นย่อยที่เป็นเครื่องยนต์ 1.8L ธรรมดา

เครื่องยนต์ และมอเตอร์ทำงานร่วมกันในระบบไฮบริด

ความพิเศษของระบบไฮบริดใน Toyota C-HR ที่เหนือกว่าเรื่องความประหยัด คือการพัฒนาระบบไฮบริดให้ดีขึ้นแตกต่างจากรถไฮบริดที่เคยมีใน Toyota รุ่นก่อนๆ นั่นคือการทำงานของระบบไฮบริดใน C-HR สามารถวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้เลย ไม่ต้องตัดสลับไปมากับการใช้น้ำมันจากเครื่องยนต์ ซึ่งความเป็นจริงทาง Toyota ได้ออกแบบให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานเร็วที่สุดเท่าที่องค์ประกอบความสามารถของมอเตอร์จะอำนวย แม้จะทำความเร็วได้ไม่เท่าเครื่องยนต์ 1.8L แต่ก็เป็นความเร็วที่เพียงพอในการใช้ขับขี่ในเมือง ปุ่มโหมด EV คือการสั่งให้ตัวรถใช้พลังงานขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าอย่างเดียว นั่นหมายถึงคุณสามารถใช้รถได้โดยไม่ต้องปล่อยไอเสียมาทำลายโลก แม้จะไม่ใช่ตลอดเส้นทางการเดินทางแต่ก็ถือเป็นการช่วยโลกของเราได้อีกทางหนึ่ง และประหยัดเงินในกระเป๋าของคุณได้อีกด้วยจากค่าใช้จ่ายของเชื้อเพลิง

ซึ่งในโหมด EV บอกไว้ก่อนว่าไม่เหมาะสำหรับการขับขี่ที่ต้องการความเร็วสูง จะเน้นความนุ่มนวล ค่อยๆ ไป ไม่บ้าพลังคิกดาวน์กับคันเร่งแบบรุนแรง แต่การพัฒนาใน EV Mode ของไฮบริดรุ่นนี้เมื่อเทียบ Prius จะวิ่งได้นานกว่าที่เครื่องยนต์จะติด ประสิทธิผลของ EV Mode ยังส่งผลดีต่อการเบรคที่นุ่มนวลขึ้นเมื่อคุณอยู่ในสถานการณ์รถติดๆ ต้องเบรคบ่อยๆ อีกด้วย

ไม่แพงเกินไปสำหรับรถไฮบริด

Toyota เปิดราคาของ 4 รุ่นย่อยใน C-HR ได้ช่างน่ารัญจวนใจให้ผู้ซื้อที่จะซื้อในรุ่นท็อปของแบบเครื่องยนต์ธรรมดา 1.8 MID อยากจ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อยเพื่อไปคว้ารุ่นเริ่มต้นของไฮบริด 1.8 Hybrid MID เสียจริงๆ กับตัวเลขราคาต่างกันเพียงไม่กี่หมื่น แต่ได้ความประหยัดที่มากขึ้น จากมอเตอร์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่มา น่าจะพอทำลายกำแพงความหวั่นเกรงต่อเทคโนโลยีของคนไทยได้ไม่น้อย ซื้อรุ่นไฮบริดมาใช้ไม่ถึงปีก็น่าจะคุ้มกับค่าน้ำมันที่ประหยัดไปได้มากแล้ว แถมยังได้ทั้ง Smart Keyless Entry และปุ่ม Push Start Button มาให้อีกด้วย ถูกเหมือนได้ฟรี

หรือถ้าอยากจะสัมผัสกับเทคโนโลยีแบบเต็มขั้นที่กล่าวไว้ข้อก่อนหน้า ก็ยอมจ่ายเพิ่มอีกสักหน่อยเพื่อคว้าในรุ่นท็อป 1.8 Hybrid ไปเลย ราคาที่จ่ายเพิ่มไปคุ้มค่ากับความสะดวกสบาย และความปลอดภัยจากเทคโนโลยี คุ้มทุกบาท ทุกสตางค์อย่างแน่นอน

รายละเอียดรุ่นย่อยทั้งสี่ของ Toyota C-HR รุ่นไฮบริดจัดเต็มครบทุกออฟชั่น

น่าซื้อกว่าสำหรับรุ่นเครื่องยนต์แบบไฮบริดใน Toyota C-HR ซึ่งรุ่นย่อยในแบบไฮบริดตอนนี้มีอยู่สองรุ่นได้แก่

  • 1.8 Hybrid MID 1,069,000 บาท
  • 1.8 Hybrid 1,159,000 บาท

ถึงเวลาหรือยังที่ทุกคนพร้อมจะก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงจากรถที่ใช้เครื่องยนต์ ผลาญน้ำมันเงินในกระเป๋าคุณ และทำลายสิ่งแวดล้อมมานานหลายสิบปี ถ้ากล่าวในแง่รักษ์โลกก็ถึงเวลาที่ทุกคนจะต้องสำนึกถึงวิกฤติของมลพิษทางอากาศได้แล้ว เริ่มต้นได้ง่ายๆ แค่จากการซื้อรถคันต่อไปของคุณ และถ้ากล่าวในแง่ส่วนบุคคล รู้ว่าทุกคนยังคงไม่มั่นใจถึงระยะยาวในการใช้รถรูปแบบใหม่อย่างประเภทไฮบริดนี้ แต่เมื่อการรับประกันด้วยชื่อค่ายอันดับหนึ่งของประเทศ และการรับประกันตัวระบบไฮบริดถึง 10 ปี รถยังไม่ทันจะพังคุณอาจจะได้ซื้อรถใหม่ที่เป็นแบบรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบไปแล้ว เพราะติดใจกับระบบขับเคลื่อนแบบใหม่นี้ก็เป็นได้

แล้วคุณละชอบหรือไม่ชอบรถไฮบริด และเพราะอะไร บอกกับเรา Chobrod ให้ได้รู้กันสักหน่อย

ดูเพิ่มเติม