หลายคนอาจจะงงๆ ว่ารถ Station Wagon ต่างจากรถ Hatchback อย่างไร วันนี้ Chobrod อธิบายไปพร้อมๆ กับการทำความรู้จัก 5 รุ่นรถ Station Wagon สุดแรงที่น่าสนใจ
มาทำความรู้จักกับรถ Station Wagon ที่ส่วนใหญ่มักสับสนกับรถ SUV เอนกประสงค์กันค่ะ
สำหรับรถยนต์นั่งที่มีอยู่ในปัจจุบันต่างก็มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไปตามลักษณะเฉพาะตัว วันนี้ Chobrod จะพาเพื่อนๆ มาทำความรู้จักกับรถยนต์นั่งแบบที่เรียกว่า Station Wagon พร้อมกับแนะนำ 5 รุ่นรถยนต์ Station Wagon ที่น่าสนใจในตลาดรถให้รู้จักกันค่ะ
รถ Station Wagon เริ่มเป็นที่นิยมในช่วงต้นศตวรรษที่ 19
มีการออกแบบเสา D เพิ่มเข้ามา ทำให้มีพื้นที่โดยสาร และเก็บสัมภาระเพิ่มมากขึ้น อดีตนิยมนำไปใช่ขนคน และอุปกรณ์ล่าสัตว์
หลายคนมักสับสนระหว่างรถยนต์แบบ Station Wagon กับ Hatchback โดยความแตกต่างอยู่ที่การออกแบบที่จะมีเสา D เพิ่มเข้ามา เพื่อให้มีพื้นที่โดยสาร หรือเก็บสัมภาระมากขึ้น และส่วนใหญ่มักจะเป็นทรงรถยนต์นั่งแบบ MPV ซึ่งรถยนต์ทรงแบบนี้มักอยู่ในกลุ่มรถยนต์ครอบครัว เดิมทีรถ Station Wagon มีชื่อเรียกว่า Shooting Brake โดยเป็นรถยนต์ที่ถูกยืดความยาวด้านท้ายให้มากขึ้นกว่าปกติ มีต้นกำเนิดในยุคต้นศตวรรษที่ 19 นิยมใช้เป็นยานพาหนะที่สามารถขนคน และอุปกรณ์เพื่อออกไปล่าสัตว์ป่าจำนวนมากได้ในคราวเดียว ต่อมาบริษัทรถยนต์ส่วนใหญ่ก็ได้เปลี่ยนคำจาก ‘Shooting Brake’ กลายมาเป็น ‘Station Wagon’ หรือ ‘Estate’ เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้น ซึ่งรถยนต์สไตล์นี้จะมีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมากกว่ารถยนต์ทั่วไปแต่ในปัจจุบันก็มีค่ายรถยนต์หลายราย ที่นำชื่อเรียกดังกล่าวนี้กลับมาใช้อีกครั้ง
ดูเพิ่มเติม
>> มีอะไรดีใน Mitsubishi Space Wagon มือสอง
>> MPV คืออะไร? มาทำความรู้จักรถ MPV และอีก 5 รุ่นรถ MPV ยอดนิยมในประเทศไทยกัน
หลังจากที่ทำความรู้จักกับรถแบบ Station Wagon แล้ว ต่อไปเราจะพาเพื่อนๆ ไปรู้จักกับรถ Station Wagon ให้มากขึ้นกว่าเดิม ผ่าน 5 รุ่นรถยนต์ที่จะแนะนำต่อไปนี้ค่ะ
Mercedes-Benz E-Class Estate รุ่นล่าสุดเปิดตัวในปี 2017 ออกแบบด้วยเส้นสาายที่สื่อสารความคลาสสิก แต่ร่วมสมัย
Mercedes-Benz E-Class Estate รุ่นล่าสุดที่เปิดตัวในปี 2017 ถือเป็นเจนเนอเรชันที่ 6 โดยหลายคนอาจคุ้นเคยในชื่อ T-Model และ Wagon โดยรุ่นล่าสุดที่เปิดตัวมาคือรุ่น Mercedes-Benz E220 d Estate AMG Dynamic ซึ่งได้รับการออกแบบมาให้หรูหรา สง่างาม เส้นสายคลาสสิกแต่ร่วมสมัยภายใต้ภาษาการออกแบบใหม่ล่าสุดของ Mercedes-Benz และแฝงความสปอร์ตใกล้เคียงในรุ่นตัวถังซาลูนด้วยแนวหลังคาลาดเอียงดูโฉบเฉี่ยว ได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่นน้องอย่าง C-Class Estate แต่ลดสันเหลี่ยมมุมลง โดยเฉพาะด้านหลังที่มีแนวหลังคาลาดเอียง และสปอร์ตกว่าเล็กน้อยพร้อมอัพเกรดให้มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมากขึ้น มาพร้อมรูปลักษณ์ที่ปราดเปรียวและมีสไตล์กว่าเดิมด้วยชุดแต่งรอบคันจาก AMG เข้ากับไลฟ์สไตล์การใช้งานในชีวิตประจำวันในแบบรถเอสเตทได้อย่างลงตัวเฉี่ยว
ภายในห้องโดยสารยังคงความหรูหรา สะดวกสบายไว้อย่างจัดเต็ม
ภายในห้องโดยสารยังคงเน้นความหรูหรา พรีเมียมตามสไตล์ Mercedes-Benz E-Class Estate เช่นเคย เบาะนั่งหุ้มหนัง Nappa พร้อมด้วยไฟ Ambient Light สร้างบรรยากาศรอบห้องโดยสารด้วยเทคโนโลยี Full LED สามารถปรับเปลี่ยนตามอารมณ์ได้ถึง 64 สี, ระบบเครื่องเสียง Burmester® ติดตั้งระบบเสียงรอบทิศทางแบบ DSP Amplifier พร้อมลำโพง 13 ตัว, กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360˚ camera และหลังคาแบบพาโนรามิคซันรูฟ พร้อมด้วยระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติ มาตรวัดดิจิตอลเป็นรูปแบบ และระบบช่วยเหลือการขับขี่เพื่อความปลอดภัยอีกเพียบ แถมยังมี Pre-Safe Sound เทคโนโลยีใหม่ที่จะส่งสัญญาณตัดเสียงดังขณะเกิดอุบัติเหตุ เบาะที่นั่งแถวหลังสามารถพับแยกส่วนได้แบบ 40:20:40 พร้อมกับมีฟังก์ชั่นใหม่ที่สามารถปรับตั้งมุมองศาให้ชันขึ้นอีก 10 องศาเพื่อเพิ่มเนื้อที่จัดเก็บสัมภาระได้อีก 30 ลิตรแต่ยังสามารถรองรับผู้โดยสารห้าที่นั่งได้ ประตูท้ายใช้ระบบ EASY-PACK เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากนี้ยังเสริมแร็กแขวนจักรยานรองรับน้ำหนักได้ถึง 100 กก. ตลอดจนระบบควบคุมเสถียรภาพเมื่อลากจูง และระบบ Crosswind Assist ช่วงล่างของรุ่นเอสเตทเป็นแบบถุงลมที่ยกตัวโดยอัตโนมัติเพื่อรักษาเสถียรภาพของตัวรถตลอดเวลาแม้จะบรรทุกหนัก โดยสามารถลากจูงได้สูงสุดถึง 2,100 กก. เลยทีเดียว
Mercedes-Benz E-Class Estate ถือเป็นอีกหนึ่งรถหรูที่จัดเต็มด้านความเอนกประสงค์ สะดวกสบาย และมีเครื่องยนต์ที่แรงถึง 194 แรงม้า
รวมถึงได้รับการออกแบบให้มีพื้นที่บรรจุสัมภาระท้ายรถมีความจุถึง 670 ลิตร และเพิ่มเป็น 1,820 ลิตร เมื่อพับพนักพิงหลังลงทั้งหมด และยังสามารถแยกพับเป็นแบบ 3 ชิ้น คือ 40 : 20 : 40 ได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณและรูปแบบสัมภาระตามความเหมาะสม ทั้งนี้ Mercedes-Benz E-Class Estate 2017 ใหม่ มาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐาน KEYLESS-GO Comfort package พร้อมฟังก์ชันเปิดบานประตูท้ายอัตโนมัติ HANDS FREE ACCESS รวมถึงแผ่นปิดที่เก็บสัมภาระด้านท้าย แบบดึงกลับ-เลื่อนเปิดขึ้นอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน Mercedes-Benz E220 d Estate AMG Dynamic ติดตั้งขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบพร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ ที่ให้กำลังสูงสุด 194 แรงม้าที่ 3,800 รอบ/นาที และแรงบิด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,800 รอบ/นาที สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในระยะเวลา 7.7 วินาที ส่วนความเร็วทำได้สูงสุดที่ 235 กม./ชม. มาในราคาเริ่มต้น 4,740,000 บาท
Chevrolet Optra Estate ในปัจจุบันมีอยู่แค่ในตลาดมือสองเท่านั้น
Chevrolet Optra หรือที่ในบางประเทศเรียกว่า Lacetti เป็นซีดานขนาดกะทัดรัดที่เคยสร้างชื่อให้กับ Chevrolet ในช่วงที่เริ่มลงหลักปักฐานในบ้านเรา Chevrolet Optra ถือเป็นที่นิยมในหมู่ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ และกลุ่มอาชีพพิเศษที่อยู่ในวัยทำงาน วัยรุ่นตอนปลาย กระทั่งถึงใกล้เกษียณ ด้วยราคา และออปชันที่จัดเต็มมาให้จากโรงงาน ในเรื่องของการดีไซน์ไม่เน้นเรื่องความโฉบเฉียว หากแต่เน้นดีไซน์ที่เรียบหรูไม่หวือหวาขับไปทำงานหรือเดินทางได้ทั่วประเทศ โดยยังมีบอดี้ 5 ประตู ESTATE ออกมาให้ได้ใช้งานสำหรับครอบครัวอีกด้วย
เปิดตัวครัง้แรกในปี 2003 ที่ผ่านการออกแบบจากปลายปากกาของ PININFARINA
Chevrolet Optra Estate เปิดตัวครั้งแรกในปี 2003 โดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบ 3 ช่อง เส้นสายรอบคัน มาจากปลายปากกาของ PININFARINA มีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 รุ่น คือ 1.6 และ 1.8 โดยมีการไมเนอร์เชนจ์อีกครั้งในปี 2005 ด้วยการเปลี่ยนกระจังหน้าใหม่ เป็นแบบช่องเดียว ปรับเปลี่ยนแผงหน้าปัดใหม่ จากช่องแอร์เหลี่ยม เป็นช่องแอร์กลม ในปลายปี 2007 ก็ได้มีการไมเนอร์เชนจ์อีกครั้ง โดยครั้งนี้เปลี่ยนลุคที่เคยดูภูมิฐานให้สปอร์ตมากยิ่งขึ้นขึ้น ลดขนาดไฟหน้าให้เล็กลง เปลี่ยนมาใช้กันชนที่ดูสปอร์ตมากขึ้น ให้ไฟท้ายมา 2 แบบ โดยในรุ่น 1.6 จะเป็นโคมกลมด้านใน 2 โคม ในขณะที่ตัว 1.8 จะเป็นโคมเหลี่ยม 3 โคม โดยโคมล่างสุดจะเป็นไฟตัดหมอกหลัง
Chevrolet Optra Estate ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มข้าราชการ และผู้ใหญ่
ภายในมีการเพิ่มเติมสีห้องโดยสารสีเทาเพิ่มเข้ามา จากเดิมมีแต่สีเบจ ให้แผงหน้าปัดทรงใหม่ ตกแต่งด้วยลวดลายไม้วอลนัทรอบคัน ช่วยให้ห้องโดยสารดูไม่จืดเกินไป ตรงคอนโซลประกอบด้วยช่องแอร์ทรงกลม สวิทช์ปรับความสว่างของเรือนไมล์ และช่องเก็บของจุกจิก ใต้เครื่องเสียงจะเป็นสวิทช์ควบคุมระบบปรับอากาศ ซึ่งมี HEATER และปุ่ม A/C มาให้ครบครัน โดยตรงส่วนนี้ถ้าเป็นรุ่น 1.8 จะได้ ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติมาให้
มาพร้อมเครื่องยนต์ให้เลือกถึง 2 รูปแบบโดยมีเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร และเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร
มาพร้อมเครื่องยนต์ 2 แบบให้เลือก ได้แก่
ปัจจุบัน Chevrolet Optra Estate มีอยู่แค่ในตลาดมือสองเท่านั้น โดยมีราคาอยู่ที่ประมาณ 110,000 – 229,000 บาท
Ford Active Wagon มีโครงสร้างหลักจากรถ Station Wagon แต่เพิ่มความสูงให้มากขึ้น จนคล้าย SUV มากกว่า
Focus Active Wagon เป็นรถที่อยู่ตรงกลางระหว่างรถยนต์โดยสาร และรถยนต์กลุ่ม SUV ของ Ford โดยวางจำหน่ายเฉพาะในทวีปยุโรปเท่านั้น Ford Active Wagon รุ่นล่าสุดนี้มาพร้อมกับตัวถังที่เพิ่มความสูงขึ้น เพิ่มความสามารถในการลุยบนถนนวิบากจากตัวถังที่ผ่านการปรับปรุงมา และรูปทรงที่มีได้อิทธิพลมาจาก SUV
Ford Focus Active Wagon 2019 ถือเป็นรถเอนกประสงค์ที่มีการออกแบบอย่างสวยงาม และครบครันทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน
Ford Focus Active Wagon 2019 ได้รับการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยหากมองอย่างผิวเผิน จะดูเหมือนรถวากอนโดยทั่วไป แต่มีความสูงจากพื้นถึงส่วนต่ำสุดของรถเพิ่มขึ้นมาอีกกว่า 30 มิลลิเมตรด้านหน้า และ 34 มิลลิเมตรด้านหลังมาพร้อมกับกันชนหน้า และกระจังหน้าแบบใหม่ พร้อมทั้งแร็คติดหลังคา และตกแต่งแผ่นกันกระแทกสีเงินรวมถึงล้ออัลลอยแบบใหม่อีกด้วย ภายในใช้เบาะโดยสารพร้อมเบาะหนุนตกแต่งด้วยผ้าแบบ Active ปักด้ายสีน้ำเงิน พวงมาลัยและเกียร์หุ้มหนัง พร้อมกับใช้แดชบอร์ดและแผงข้างประตูตกแต่งด้วยวัสดุสีสันสดใส และยังมีป้ายและพรมรองพื้นปักลายสีฟ้า Active สคัฟฟ์ตรงประตู
Ford Focus Active Wagon 2019 มีจำหน่ายแค่ในทวีปยุโรปเท่านั้น
นอกจากนี้ Ford Focus Active Wagon 2019 ยังได้รับการปรับปรุงตัวถังซึ่งมีการติดตั้งช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระแบบ SLA ช่วงล่าง สปริง ค้ำตัวถัง รวมถึงแขนยึดบังคับล้อทั้งหน้าและหลัง Ford ยังกล่าวอีกด้วยว่าระบบ SLA จะสร้างความสมดุลระหว่างล้อหน้าและหลังขณะวิ่งผ่านบรรดาหลุมขนาดใหญ่บนท้องถนน โดยจะสร้างความรู้สึกราบรื่นยิ่งกว่าเดิม เพิ่มโหมดการขับขี่ทั้งแบบ Normal, Sport และ Eco ใน Active ใหม่ล่าสุดยังเพิ่ม Slippery และ Trail เพื่อการควบคุมรถไม่ให้ลื่นไถลผ่านโคลน หิมะ และทรายที่ดียิ่งขึ้น มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 2 ตัวเลือกได้แก่ EcoBoost 3 สูบเทอร์โบชาร์จเบนซิน และ EcoBlue 4 สูบเทอร์โบดีเซล โดยในรุ่นเบนซินยังมีตัวเลือกย่อยเป็น เครื่อง 1.0 ลิตร ให้กำลัง 123 แรงม้า และ 1.5 ลิตรให้กำลัง 148 แรงม้า ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลสามารถเลือกเครื่องยนต์ได้ทั้ง 1.5 ลิตรให้กำลัง 118 แรงม้า และ 2.0 ลิตร ให้กำลัง 148 แรงม้า สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร EcoBlue ให้ความประหยัดสูงสุดพร้อมผ่านมาตรฐาน NEDC ให้อัตราการบริโภคน้ำมัน 3.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 93 กรัมต่อกิโลเมตร โดยมีเกียร์สองแบบให้เลือก เกียร์ธรรมดา 6 สปีดและเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด น่าเสียดายที่รุ่นนี้มีขายแค่เฉพาะในทวีปยุโรปเท่านั้น โดยจำหน่ายในราคาไม่ต่ำกว่า 21,900 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 922,100 บาท
Toyota Corolla Touring Sport 2019 เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่วางจำหน่ายเฉพาะในทวีปยุโรปเท่านั้น
Toyota Corolla Touring Sports 2019 เป็นอีกรุ่นที่พัฒนาหน้ามาจากพื้นฐานโครงสร้างตัวถัง TNGA ของค่ายโดยเฉพาะเพื่อให้เป็นรถทรงวากอนที่ลงตัวมากยิ่งขึ้น โดยได้ขยายพื้นที่ความจุมาเป็น 598 ลิตรตามมาตรฐาน VDA ชูจุดเด่นเรื่องการมีพื้นที่ตอนหลังที่ดีที่สุดในกลุ่ม ซึ่งมาจากฐานล้อขนาดใหญ่เพิ่มถึง 2700 มิลลิเมตร ช่วงล่างด้านหน้าใช้แมคเฟอสันสตรัทร่วมกันกับมัลติลิงก์ในด้านหลัง และยังมีตัวเลือกด้านระบบช่วงล่างเพิ่มเติม ใน Corolla Touring Sports ซึ่งจะมาทำตลาดในกลุ่มครอบครัวซึ่งกำลังมองหารถทรงท้ายตัดขนาดคอมแพค
Toyota Corolla Touring Sports 2019 มาพร้อมการออกแบบภายในอย่างกว้างขวาง และเรียบง่าย แต่ทันสมัยด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
Toyota Corolla Touring Sports 2019 มีความยาวฐานล้ออยู่ที่ 2,700 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้นจากรุ่นแฮทช์แบ็ค 60 มิลลิเมตร ทำให้รุ่น Touring Sports มีพื้นที่วางขามากที่สุดในรถระดับเดียวกัน ตัวถังตั้งแต่ช่วงเสา B-pillar ไปจนถึงด้านหลังได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด ด้วยเส้นสายที่เรียบง่ายแต่แฝงความหรูหรา ขณะที่ไฟท้ายแบบ LED ถูกออกแบบคล้ายกับรุ่นแฮทช์แบ็ค และยังเป็นครั้งแรกที่จะถูกติดตั้งช่วงล่างแบบปรับความหนืด Adaptive Variable Suspension (AVS) อุปกรณ์ภายในห้องโดยสารยังคงใกล้เคียงกับรุ่นแฮทช์แบ็ค ไม่ว่าจะเป็นระบบอินโฟเทนเม้นท์ Toyota Touch, แป้นชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สาย, เครื่องเสียง JBL GreenEdge, มาตรวัด Head-up Display เป็นต้น
Toyota Corolla Touring Sports 2019 มีเครื่องยนต์ 3 ขนาดด้วยกัน คือ เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร, 1.8 ลิตร และ 2.0 ลิตร
Toyota Corolla Touring Sports 2019 มีให้เลือก 3 เครื่องยนต์ด้วยกัน คือ เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.2 ลิตรพ่วงเทอร์โบชาร์จ ให้กำลัง 114 แรงม้า, เครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8 ลิตร 120 แรงม้า และเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลัง 178 แรงม้าแบบไฮบริดทั้งคู่ มาพร้อมกับระบบกันสะเทือนหน้าแบบ MacPherson Strut ด้านหลัง multilink แบบ all-new มาพร้อมเทคโนโลยีวาล์วโช้คอัพใหม่ล่าสุด และเป็นครั้งแรก ที่มีการนำเอาระบบกันสะเทือนแบบแปรผัน Adaptive Variable Suspension และเช่นเดียวกับ Ford Focus Active Wagon 2019 ที่รุ่นนี้จะไม่มีการนำมาจำหน่ายในประเทศไทยแต่อย่างใด โดยสนนราคาของ Toyota Corolla Touring Sports 2019 เริ่มต้นที่ 22,570 ปอนด์ หรือคิดเป็นราคาไทยที่ 951,000 บาท
Subaru Outback คือรถ SUV ที่สร้างบนพื้นฐาน Station Wagon และมีการยกให้สูงขึ้น เพื่อความเอนกประสงค์อย่างครอบคลุม
Subaru Outback 2018 รถ SUV รุ่นหรูสำหรับครอบครัว ใช้โครงสร้างแบบ Wagon แบบเดิมที่ใช้ใน Subaru Legacy แต่ยกสูงขึ้น เสริมความหล่อจากภายนอกจนถึงห้องโดยสารใหม่ มาพร้อมกับระบบความปลอดภัย Active Safety ที่ทางซูบารุใช้ชื่อว่า EyeSight ก็มีติดตั้งมาให้ครบถ้วน ภายนอก Subaru Outback 2018 ปรับโฉมกันชนด้านหน้า และกระจังหน้าลายพาดขวางตัวแบบหกเหลี่ยม ที่นอกจากจะมีคุณภาพสูงและทนทานแล้ว ยังช่วยให้รถมีรูปลักษณ์ที่ทรงพลัง เคียงคู่โคมไฟหน้า LED กับไฟ Day Time Running เปลี่ยนล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วเป็นลายใหม่ พร้อมด้วยยางไซส์ 225/60 R18 ออกแบบให้มีน้ำหนักเบา ซึ่งส่งผลให้ถูกต้องตามหลักอากาศพลศาสตร์มากยิ่งขึ้น
มีการเพิ่มความสามารถด้าน Voice Recognition เพื่อช่วยเหลือผู้ขับขี่ให้ใช้งานแบบแฮนด์ฟรีได้อย่างไม่รบกวนการขับขี่
ภายในห้องโดยสารใช้เค้าโครงคอนโซลกลางที่คล้ายกับรุ่นเดิม โดยเลือกใช้วัสดุใหม่ รวมถึงปรับปรุงเรื่องการตัดเย็บ และมีช่องเสียบ USB ที่คอนโซลกลางด้านหลัง ขณะที่ระบบความบันเทิงให้มาพร้อมจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ซึ่งใน Outback โมเดลใหม่รองรับการเชื่อมต่อ Android Auto และ Apple CarPlay แถมด้วยระบบเสียงคุณภาพสูงจาก Harman Kardon เพิ่มความสามารถด้าน Voice Recognition จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถใช้งานแบบแฮนด์ฟรี ส่งผลให้ไม่รบกวนต่อการขับขี่และเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้โดยสารทุกคน
Subaru Outback 2018 ติดตั้งขุมพลังเครื่องยนต์บ็อกเซอร์สูบนอน ขนาด 2.5 ลิตร
Subaru Outback 2018 ติดตั้งขุมพลังเครื่องยนต์บ็อกเซอร์สูบนอน ขนาด 2.5 ลิตร โดยได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นด้วยไดชาร์จรุ่นใหม่ ซึ่งช่วยให้ใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และมีน้ำหนักเบาลงถึง 8% พร้อมระบบเกียร์ CVT มีโหมดใช้งาน 7 สปีด และการตอบสนองของลิ้นปีกผีเสื้อที่ไวขึ้นก็ช่วยให้อัตราการเร่งดีขึ้น ได้ความรู้สึกแบบรถสปอร์ต การเปลี่ยนโซ่สายพานส่งกำลังให้มีความละเอียดยิ่งขึ้นส่งผลให้ช่วยลดเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์สู่ห้องโดยสาร และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงได้ประมาณร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับรุ่นปัจจุบัน ในด้านความปลอดภัย Subaru Outback ยังมีระบบไฟหน้าแบบปรับทิศทางอัตโนมัติตามพวงมาลัย ช่วยให้ลำแสงไฟหน้าเคลื่อนที่ไปตามทิศทางของการหักพวงมาลัยรถ เพิ่มทัศนวิสัย และความปลอดภัยในยามค่ำคืน ทัศนวิสัยในจุดบอดด้านหน้ายังได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วยกล้องที่ติดตั้งอยู่ที่ส่วนล่างของกระจังหน้า และกระจกข้างซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นบริเวณโดยรอบได้เมื่อขับขี่ในพื้นที่แคบ โดย Subaru Outback 2018 มีราคาเริ่มต้นที่ 2.5 ล้านบาท
ดูเพิ่มเติม
>> อินเดียเผยโฉมรถเล็กราคาเบาๆ Suzuki Wagon R 2019 ใหม่
>> Mitsubishi Outlander PHEV รถ Crossover พลังงานทางเลือกลุ้นจ่อเปิดตัวในไทย !
ปัจจุบันรถ Station Wagon ได้รับการออกแบบให้มีความเอนกประสงค์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย
เป็นอย่างไรบ้างคะ กับความรู้เกี่ยวกับรถ Station Wagon หรือ Wagon หรือ Estate ที่เรียกได้ว่าสร้างความสับสนให้กับคนที่เพิ่งเข้ามาในวงการรถยนต์พอสมควรเลยทีเดียว แม้ว่าปัจจุบันจะไม่ค่อยมีรุ่น Station Wagon ทำตลาดอย่างจริงจัง เพราะได้มีการปรับโฉม เพิ่มขีดความสามารถ และใช้ชื่อตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป แต่เราก็ยังสามารถเลือกซื้อรถกลุ่มเอนกประสงค์เพื่อใช้งานได้ตามไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันได้นะคะ สำหรับบทความเรื่องรถยนต์ดีๆ สามารถติดตามได้ที่ Chobrod.com เช่นเคยนะคะ
ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสองสภาพดี เชิญเข้าดูที่ตลาดรถตรงนี้