รถกระบะเป็นรถยนต์ที่มีหลากหลายราคาไล่กันตั้งแต่หลัก 500,000 บาทไปจนถึงหลักล้านบาทก็มี โดยฟังก์ชั่นก็จะแตกต่างกันไป แต่อย่างไรก็บรรทุกของได้เหมือนเดิม ถ้ามีงบประมาณ 600,000 จะได้รถกระบะแบบไหนกันนะ
กลุ่มรถยนต์ที่ชาวไทยสนใจมากที่สุดและมียอดขายสูงสุดตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาคงหนีไม่พ้นรถกระบะ ด้วยเหตุผลที่ว่ารถกระบะค่อนข้างจะเอนกประสงค์ คือ ใช้โดยสารปกติก็ได้ รถกระบะใช้ขนของชิ้นใหญ่ก็ได้ รถกระบะใช้โดยสารหลายคนที่กระบะหลังก็ได้ในกรณีที่ไม่ได้ไปไกลหรือออกถนนใหญ่ให้ผิดกฎหมายนัก และด้วยประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมด้วยแล้วการมีรถกระบะสักคันติดไว้บ้าน จึงเป็นเรื่องที่แทบจะเห็นกันชินตาโดยเฉพาะตามต่างจังหวัด นอกจากนั้นรถกระบะยังสามารถนำมาดัดแปลงเป็นรถยนต์แบบอื่นๆได้ง่ายด้วย เช่น รถกระบะตู้แช่ หรือรถกระบะแบบมีหลังคาสูง หรือรถกระบะต่อโครงหลังคาด้านหลังพร้อมติดเครื่องปรับอากาศ เหล่านี้ก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น ที่สำคัญราคาก็ไม่ได้แพงมากมายอะไร
รถกระบะรถยนต์ยอดนิยมเพื่อขนสินค้าเป็นอาชีพ
แบรนด์รถกระบะ3อันดับแรก
ตลาดรถกระบะในประเทศไทยจะมีเจ้าใหญ่ๆที่ทำตลาดรถมายาวนาน ตัวรถเองก็มีคุณภาพได้รับการยอมรับรุ่นต่อรุ่น ก็คือแบรนด์ Toyota และ Isuzu ที่มียอดขายต่อปีเกินแสนคันเฉพาะในประเทศไทย ตามมาด้วยแบรนด์อันดับที่3คือ Ford ที่เน้นความแกร่งของรถมาเป็นจุดเด่นสำคัญของการทำตลาดก็เริ่มทำยอดได้ดีและมียอดขายแซงรุ่นอื่นๆในแบรนด์เดียวกันไปเลย แต่อย่างไรก็ตามยอดขายของเจ้าตลาดก็ยังมากกว่าของ Ford ถึงกว่า2เท่า วันนี้เราจะมาดูกันว่ารถกระบะป้ายแดงจากค่าย Isuzu ที่เป็นขวัญใจคนไทยทั้งในและต่างจังหวัดกันมานาน ในราคาไม่ถึง 600,000 บาท เราสามารถเป็นเจ้าของรถกระบะแบบไหนได้บ้าง และความต้องการต้องเป็นแบบใดจึงจะเหมาะ
รถกระบะ Isuzu อีกหนึ่งแบรนด์ที่ชิงตำแหน่งที่1คู่กับ Toyota
รถกระบะจาก Isuzu
แบรนด์ Isuzu เป็นที่นิยมกันมากโดยเฉพาะต่างจังหวัด บางทีพนักงานขายก็รู้จักคนทั้งหมู่บ้านและก็บอกต่อให้มาซื้อแบรนด์นี้กันอยู่เรื่อยๆทำให้แบรนด์ยังคงทำตลาดและสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับรถกระบะจาก Isuzu ที่มีราคาไม่ถึง 600,000 ก็ยังคงมีให้เลือกอยู่ โดยมีข้อจำกัดตรงที่ว่าด้วยราคานี้จะได้เป็นรถกระบะที่ไม่ใช่ 4ประตู คือได้เฉพาะรถกระบะตอนเดียวและรถกระบะตอนครึ่งเท่านั้น
รถกระบะแบบมี Cab จาก Isuzu (รถกระบะตอนครึ่ง)
รุ่นที่สามารถหาซื้อได้ในราคาไม่เกิน 600,000 บาท คือรุ่น 1.9 Ddi S ที่มีการออกแบบไม่ต่างอะไรจากตัวเกรดที่สูงกว่ามากนัก เรียกว่าความเท่ ความดุดันได้รับมาเท่าๆกันเลยเป็นรองในเรื่องฟังก์ชั่นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบ Bi-LED ที่ให้ความสว่างมากขึ้นแต่กินไฟน้อยกว่า กระจังหน้าโครเมี่ยม บันไดข้างดีไซน์แบบชิ้นเดียวทำให้ทนทานและยังเพิ่มลวดลายผิวสัมผัสอีกด้วยเพื่อป้องกันการลื่นไถล ส่วนมาตรฐานของอุปกรณ์อื่นๆในรถกระบะคันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรด้อยนัก ไม่ว่าจะเป็นกระจกไฟฟ้า ปรับเลื่อนลงอัตโนมัติด้านคนขับ ระบบเซ็นทรัลล็อก เครื่องเสียงแบบ 2Din ที่มีวิทยุ เครื่องเล่น CD หรือจะช่องต่อ USB/AUX ก็มีมาให้แบบครบๆ พร้อมกับลำโพง2จุด
รถกระบะตอนครึ่งจาก Isuzu
ในด้านความปลอดภัยหลักๆก็คือ ถุงลมนิรภัยคู่หน้าที่เป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยหลัก แต่จะยังไม่มีอุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆเช่น ระบบป้องกันล้อล็อคABS หรือระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA นับว่ายังเป็นข้อจำกัดของรถกระบะที่ราคาไม่เกิน 600,000 บาท แต่ถ้าไม่ได้ซีเรียสอะไรและงบจำกัดจริงๆฟังก์ชั่นอื่นๆที่ให้มานับว่าไม่ได้น่าเกลียด ขุมกำลังที่ได้คือ เครื่องยนต์RZ4E-TC 1.9ลิตรที่ใช้ในหลากหลายรุ่นของรถกระบะIsuzu ให้กำลังสูงสุด150แรงม้าที่ 3600รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350นิวตันเมตร ที่1800-2600รอบต่อนาที ทำให้รถกระบะรุ่นนี้ เหมาะกับการใช้งานบรรทุกของและนั่งโดยสารในห้องโดยสารได้ถึง4คนแน่ๆ
ถุงลมนิรภัยคู่หน้าเป็นอุปกรณ์หลักด้านความปลอดภัย
ดูเพิ่มเติม
>> เรื่องน่ารู้ในตลาดรถยนต์ประเทศเพื่อนบ้านที่เราไม่ควรมองข้าม
>> รถยนต์ยอดขายต่ำสุดในเซกเมนต์ที่นิยมที่สุดของไทย
รถกระบะแบบตอนเดียวจาก Isuzu
กรณีที่เป็นรถกระบะแบบตอนเดียวจากค่าย Isuzu ในราคาไม่เกิน 600,000บาทนั้น มีให้เลือกมากมายหลายรุ่นจนถึงรุ่นรองท็อปกันเลยทีเดียว ด้วยราคาเริ่มต้น 538,000 บาท ในรุ่น Spark 1.9 Ddi B ไปจนถึงราคา 581,000 บาทในรุ่น Spark 3.0 Ddi S โดยในที่นี้จะพูดถึงรุ่น Spark 3.0 Ddi S กันไปเลยนะครับเพราะเป็นรุ่นสูงที่สุดที่ยังอยู่ในงบ
รถกระบะ Isuzu Spark ที่กำลังแรงขนส่งสบาย
ข้อดีที่สำคัญที่สุดของรถกระบะรุ่น Spark 3.0 Ddi S ที่ราคานี้คือได้เครื่องยนต์รหัส 4JJ1-TCXที่ 3.0ลิตร แรงม้าสูงสุด177แรงม้าที่3600รอบต่อนาที ทำให้งานขน บรรทุกสิ่งของต่างๆจัดได้แบบเต็มๆไม่ต้องกลัวอืดเลย ส่วนในแง่ความปลอดภัยก็จะได้ถุงลมนิรภัยคู่หน้าเป็นมาตรฐาน ระบบความปลอดภัยอื่นๆจะยังไม่มีให้ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันล้อล็อก ABS หรือระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA อุปกรณ์อำนวยความสะดวกก็แทบไม่ต่างจากรถกระบะตอนครึ่งที่กล่าวมาแล้วในรุ่น 1.9 Ddi S สามารถใช้ฟังเพลงฟังวิทยุได้ตามปกติ สิ่งที่ได้มามากขึ้นหลักๆคือเรื่องของกำลังเครื่องยนต์ที่มากขึ้นแบบเห็นๆในรถกระบะรุ่นนี้
รถกระบะตอนเดียวของ Isuzu ที่ราคาไม่เกิน 600,000 บาท
ดังนั้นถ้ามีงบจำกัดไม่เกิน 600,000 บาท จุดประสงค์คือบรรทุกและโดยสารมากกว่า2คน ก็เลือกรุ่น 1.9 Ddi S ที่เป็นรถกระบะตอนครึ่งได้เลย ส่วนถ้ามีกันแค่2คน และเน้นบรรทุกหนักๆก็จัดรุ่น Spark 3.0 Ddi S ที่เป็นรถกระบะตอนเดียวได้เลยครับ
ถ้างบเกินจากนี้จะได้อะไร
ถ้างบประมาณมากกว่า 600,000 บาท สิ่งที่ทำให้รถแตกต่างกันคือเรื่องการเป็นรถกระบะแบบ4ประตูที่ทำให้โดยสารได้4คนแบบสบายๆทั้งสี่คนเนื่องจากที่นั่งด้านหลังก็มีความกว้างขวาง และยังสามารถบรรทุกของที่กระบะหลังได้ตามปกติ และสิ่งที่จะได้ถ้าเป็นกระบะตอนครึ่งที่งบเกินจาก 600,000 บาทขึ้นไปคือเรื่องระบบเกียร์ที่เป็น Automatic และระบบความปลอดภัยที่ทำให้ราคารถสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมการทรงตัว ESC ระบบป้องกันล้อหมนุฟรีขณะออกตัว TCS ระบบช่วยออกตัวและควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HSA และ HDC ทั้งยังมีกล้องมองหลังอีกด้วย แต่ถ้าครบๆแบบนี้ต้องมีงบถึง 800,000 บาท
เพื่อนๆชาว Chobrod คงพอจะเห็นภาพแล้วนะครับว่า งบประมาณจาก 600,000 และ 800,000 สิ่งที่ได้มาคือเรื่องของความปลอดภัยเป็นหลักเลย ดังนั้นถ้าเรามีงบประมาณจำกัดและสามารถยอมรับกับฟังก์ชั่นความปลอดภัยเหล่านี้ได้ และจุดประสงค์หลักเป็นเรื่องการบรรทุกของเป็นหลักก็สามารถทำให้เรามีรถกระบะใช้ได้ตามความต้องการที่เหมาะสมโดยไม่เปลืองงบประมาณเกินไปด้วยครับ
ดูเพิ่มเติม
>> 5 อันดับยอดขายรถกระบะทั่วทั้งโลก เป็นรุ่นไหนกันบ้าง
>> ตลาดรถยนต์ประเทศเพื่อนบ้านเราเป็นอย่างไร
ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสองสภาพดี เชิญเข้าดูที่ตลาดรถตรงนี้