หลายคนคงเคยเห็นสเปคของ Ford Everest รถ SUV เกรดพรีเมียมจาก Ford กับราคาหลักล้านกลางๆ มาบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงมีความลังเลอยู่ว่าจะซื้อดีไหม วันนี้ Chobrod จะมาแจกแจงรายละเอียด และปัญหาของ Ford Everest เพื่อหาความคุ้มค่าของการซื้อเจ้ารถ SUV คันนี้กันค่ะ
Ford Everest กับรูปลักษณ์ที่ดุดันในแบบพรีเมียม
สำหรับรูปลักษณ์ภายนอก จากการรีวิว Ford Everest เรียกได้ว่าโดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่พรีเมียม ดุดัน และสวยสะดุดตาอย่างมาก แต่ในแต่ละรุ่นย่อยก็ได้อุปกรณ์ตกแต่งภายนอกที่แตกต่างกันโดย
Ford Everest 2.0 Trend (ราคา 1,299,000 บาท) ยังคงแนวทางการออกแบบที่เน้นความเป็น Contempory design โดยมีการปรับเปลี่ยนกระจังหน้าใหม่เป็นสีเทาดำดูมีเสน่ห์ความลงตัวในการใช้งาน พร้อมด้วยล้ออัลลอยขอบ 17 นิ้ว สีเทา ขนาด 265/65/R17 ไฟหน้าให้โคมไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ แต่เป็นหลอดไฟแบบฮาโลเจน ประตูท้ายเปิดด้วยมือธรรมดา
มาพร้อมกับระบบกุญแจ Keyless ซึ่งเป็นมาตรฐานในรถทุกรุ่น ทั้งกุญแจอัจฉริยะ และปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ภายในออกแบบด้วยสุดหุ้มเบาะนั่งหนังสีดำ ระบบปรับอากาศแยกอิสระ ซ้าย-ขวา ตามต้องการ ส่วนด้านความบันเทิงมีการติดตั้งระบบ Ford Sync 3 มาให้ ด้วยการทำงานผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว สามารถเชื่อมต่อ Bluetooth และ Wifi พร้อมลำโพง 9 ตัวในห้องโดยสาร พร้อมซับวูฟเฟอร์ และแอมพลิฟายเออร์ ขุมพลังรุ่นใหม่เป็นเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า สูงสุดที่ 3,500 รอบต่อนาที และทำแรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร ตั้งแต่ 1,750 – 2,500 รอบต่อนาที ขับเคลื่อนด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด
ดูเพิ่มเติม
Ford Everest มือสอง คุ้มค่า น่าใช้จริงหรือไม่ !?
รวบรวมปัญหา Ford Everest 2018 !
Ford Everest เหมาะกับการขับขี่ในทุกสภาพถนน
Ford Everest 2.0 Titanium (ราคา 1,439,000 บาท) มีภาพรวมรายละเอียดงานออกแบบคล้ายกับรุ่น Trend และได้เพิ่มออปชั่นสำคัญดังนี้ ไฟหน้าแบบ HID สามารถปรับระดับสูง-ต่ำอัตโนมัติ, ไฟขับขี่เวลากลางวันแบบ LED, ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ, ไฟท้าย LED, ระบบเปิด-ปิดประตูท้ายไฟฟ้า พร้อมฟังชั่นทำงานแบบแฮนด์ฟรี, ล้ออัลลอยขอบ 18 นิ้ว พร้อมยาง 265/60/R18, ภายในมีการเพิ่มเติมฟังก์ชั่นเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ในส่วนของขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด เช่นเดียวกับรุ่น Trend
สำหรับระบบความปลอดภัยของทั้ง Ford Everest 2.0 Trend และ Ford Everest 2.0 Titanium มาพร้อมกล้องมองขณะถอยจอด, ระบบถุงลมนิรภัย 7 ใบ (คู่หน้า, ด้านข้าง, เข่า และม่านนิรภัย) และฟังก์ชั่นใหม่ทำงานร่วมกับระบบ SYNC 3 เมื่อ รถเกิดอุบัติเหตุจนถุงลมทำงานระบบจำทำการสั่งโทรขอความชวยเหลือไปยังเบอร์ 1669 โดยอัตโนมัติ หากคุณเชื่อมโทรศัพท์ไว้กับระบบ
Ford Everest กับรูปลักษณ์ที่ดุดันในแบบพรีเมียม
Ford Everest 2.0 Titanium plus (ราคา 1,599,000 บาท) คือรุ่นรองท็อปที่มีออปชั่นเพิ่มมากขึ้นจาก 2 รุ่นแรก โดยเป็นรุ่นขับเคลื่อนสองล้อ มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร กำลัง 180 แรงม้าให้แรงบิด 420 นิวตันเมตร เหมือนกับ 2 รุ่นแรก โดยมีออปชั่นเพิ่มเติมจากรุ่น Titanium คือ ติดตั้งล้ออัลลอยขอบ 20 นิ้ว พร้อมยาง Good Year efficient Grip ขนาด 265/50/R20 รวมถึงได้หลังคากระจก Panoramic Sunroof เป็นลูกเล่นเพิ่มเติม ภายในห้องโดยสารได้เบาะนั่งฝั่งผู้โดยสาร เป็นเบาะนั่งคู่หน้าไฟฟ้าปรับได้ 8 ทิศทาง, เบาะนั่งแถว 3 สามารถปรับพับด้วยไฟฟ้า ช่วยให้ง่าย และสะดวกในการใช้งานมากขึ้น รวมถึงติดตั้ง Navigator มาให้ด้วย นอกเหนือจากนี้ยังติดตั้งระบบช่วยเหลือในการขับขี่มากมาย อาทิ ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมตรวจจับคนเดินเท้า (AEB), ระบบช่วยขับขี่อัจฉริยะมากมาย อาทิ ระบบควบคุมความเร็วปรับรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control), ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping), ระบบเตือนการชนทางด้านหน้า, ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ และระบบแจ้งเตือนความเหนื่อยล้าในการขับขี่ รวมถึงระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assisted) สำหรับเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยเพิ่มเติม ได้แก่ ระบบตรวจจับลมยาง, ระบบตรวจจับรถในจุดบอด (Blind spot Monitoring) และระบบตรวจจับรถในขณะออกจากซองจอดรถ (Rear Cross Traffic Alert)
ความทรงพลังของ Ford Everest คือสามารถพ่วงรถที่มีน้ำหนักมากได้สบายๆ
และรุ่นย่อยสุดท้าย Ford Everest 2.0 Bi-Turbo Titanium plus 4WD (ราคา 1,799,000 บาท)
รุ่นท๊อปที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ พร้อมลุยด้วยระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะใช้งานง่าย (Terrain Management System หรือ TMS) ช่วยให้ขับขี่ได้ง่าย รวมถึงยังติดตั้งระบบเฟืองท้าย (Electronic Locking Rear Differential) ที่ช่วยให้การกระจายกำลังไปยังล้อในระหว่างการขับเคลื่อน ในส่วนของเครื่องยนต์แม้จะเป็นเครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.0 ลิตรเหมือนกัน แต่แตกต่างด้วยการจูนระบบอัดอากาศเป็นระบบเทอร์โบคู่ (Bi-turbo) ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้าที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิด 500 นิวตันเมตรที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที พร้อมระบบขับเคลื่อนกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด (ซึ่งเป็นเครื่อง และชุดเกียร์เดียวกับ Ford Ranger Raptor) นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (Hill Decent Control) อีกด้วย
ระบบป้องกัน และความแข็งแรงของตัวรถถือว่าดีมาก
สำหรับปัญหาที่สามารถพบได้ใน Ford Everest ซึ่งมีทั้งปัญหาจุกจิกอย่างเสียงดังจากคอนโซลเก็บของ, ปุ่มแตรกดไม่ดัง, แอร์ไม่ค่อยเย็น, กระจกไฟฟ้าไม่ค่อยออโต้, เสียงดังใต้รถเวลารถวิ่งเร็ว หรือท่อน้ำทิ้งแอร์หลุดเป็นต้น แต่ส่วนหนึ่งที่พบเจอกันบ่อยๆ ก็คือปัญหาเกียร์กระตุก เวลาถอนคันเร่งซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวเพื่อหาจังหวะการขับขี่ของตนเองให้เข้ากับรถรุ่นนี้เองด้วย แม้ว่าจะมีปัญหาจุกจิกอยู่บ้าง แต่สำหรับผู้ใช้งานจริงก็ยืนยันเรื่องของระบบความปลอดภัยที่ทาง Ford Everest ใส่มาแบบจัดเต็ม ถึงแม้ว่าจะต้องแลกมาด้วยน้ำหนักตัวรถที่มาก และอาจกินน้ำมันมากกว่า รถ SUV รุ่นอื่นเล็กน้อยเท่านั้น
Ford Everest 2018 มาพร้อมกับ 4 รุ่นย่อย ราคาเริ่มต้น 1,299,000 - 1,799,000 บาท
จากรายละเอียดของแต่ละรุ่นย่อยของ Ford Everest รวมไปถึงปัญหาที่พบเจอแล้วก็ต้องบอกได้เลยว่าคุ้มค่ากับราคาล้านกลางๆ แต่ในส่วนของรุ่น Top อย่าง Ford Everest 2.0 Bi-Turbo Titanium plus 4WD ที่แม้จะได้เครื่องยนต์ที่ดีกว่า และอุปกรณ์ช่วยขับขี่อัจฉริยะเพิ่มขึ้นมาแต่ก็ต้องเปรียบเทียบกับการใช้งานของแต่ละคนดู ส่วนตัวมองว่ารุ่นนี้อาจจะราคาแรงไปสักนิดเมื่อเทียบกับรุ่นย่อยอื่นๆ แต่ก็อย่างที่บอกไปค่ะเพราะรุ่นนี้ก็ได้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออีกด้วย แต่ภาพรวมของ Ford Everest ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาอย่างมากเลยทีเดียวค่ะ บทความเรื่องรถต่อไปจะเป็นเรื่องอะไรอย่าพลาดติดตามกันที่ ตลาดรถ Chobrod.com นะคะ
ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสองสภาพดี เชิญเข้าดูที่ตลาดรถตรงนี้