วันนี้ทาง chobrod.com ก็มีเคล็ดลับดีๆ ในการขับรถเกียร์ออโต้ เพื่อให้ผู้ขับขี่ปลอดภัย โดยเรามาทำความรู้จักตำแหน่งเกียร์กันก่อน
ระบบเกียร์ออโต้
- P (Parking) ใช้จอดรถ โดยล็อคล้อไว้ไม่ให้รถเคลื่อน โดยเราจะเปลี่ยนเกียร์มาที่ P เมื่อรถจอดนิ่งสนิทแล้วและต้องการดับเครื่อง หรือเมื่อต้องการจอดที่ลาดชัน นอกจากนั้น ก่อนสตาร์ทรถ ตำแหน่งเกียร์ควรจะอยู่ที่ P เช่นเดียวกัน
- R (Reverse) เป็นเกียร์ถอยหลัง เมื่อเกียร์มาอยู่ที่ตำแหน่ง R นี้แล้ว รถจะถอยหลังไปได้เองอย่างช้าๆ โดยไม่ต้องเหยียบคันเร่ง และในขณะถอยหลัง ไม่ควรเหยียบคันเร่ง เพราะจะทำให้รถถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว
- N (Neutral) เกียร์ว่าง ใช้เมื่อต้องการจอดรถชั่วคราว และเมื่อเกียร์อยู่ในตำแหน่ง N นี้ รถจะสามารถถูกเข็นไปได้
- D หรือ D4 เกียร์เดินหน้า 4 Speed ใช้ขับขี่ปกติ โดยเมื่อเปลี่ยนเกียร์มาที่ D แล้ว รถจะเริ่มออกตัว แล่นไปเองอย่างช้าๆ และเมื่อเหยียบคันเร่ง รถจะเริ่มเปลี่ยนเกียร์เองอัตโนมัติ
- 3 หรือ D3 เกียร์เดินหน้า 3 Speed ส่วนใหญ่ใช้ขับขึ้นลงเนินที่ไม่ชันมาก เช่น ขึ้นสะพาน
- 2 หรือ D2 คือ เกียร์เดินหน้า 2 Speed ใช้เมื่อต้องการขับรถขึ้นลงเนิน หรือบริเวณที่ค่อนข้างชัน
- L (Low) เกียร์ 1 ซึ่งจะใช้ในการขับขึ้น-ลง เขาที่สูงชันมากๆ เมื่อลงเขาด้วยเกียร์ L จะเป็นการใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรค เพื่อลดการเหยียบเบรค เพราะอาจจะทำให้ผ้าเบรคหมดเร็วได้
7 เคล็ดลับการขับรถเกียร์ออโต้
เคล็ดลับขับรถเกียร์ออโต้
- ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ควรตรวจสอบให้เกียร์อยู่ในตำแหน่ง P และควรสตาร์ทในขณะที่เกียร์อยู่ในตำแหน่ง P เท่านั้น เพราะหากคันเกียร์คร่อมในตำแหน่ง P – R จะทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือน เกียร์ก็จะดีดไปเข้าตำแหน่งเกียร์ R ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
- การขับรถลงทางลาดชัน ควรใช้เกียร์ “D3” แต่ถ้าทางนั้นชันมาก ให้เลื่อนเกียร์ไปที่ตำแหน่ง “D2” เพื่อใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรก (Engine Brake) และในขณะเดียวกันก็ให้เหยียบเบรก หรืออาจใช้เบรกมือ เพื่อช่วยในการหยุดรถ
- ห้ามใช้เกียร์ “N” หรือ “D4” ในการขับรถทางชันมากๆ ด้วยกำลังเครื่องยนต์ที่ไม่พอ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
- การจอดรถแล้วไม่ดับเครื่องยนต์ ให้ใช้เกียร์ P ไม่ควรใช้เกียร์ N และใส่เบรคมือทุกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้รถพุ่งไปข้างหน้า
- หากต้องการเปลี่ยนเกียร์ไปตำแหน่งอื่น ควรทำในขณะที่รถยนต์จอดสนิท และควรเหยียบเบรกป้องกันกันรถเคลื่อน
- หากหยุดรถไม่นานก็ควรอยู่ที่เกียร์ D โดยแตะเบรกแทน แต่หากหยุดนานเกินกว่านี้ค่อยเปลี่ยนเป็น N และต้องการป้องกันรถไหล ให้ใช้เบรกมือด้วย
- ควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุกๆ 6 เดือน เพื่อช่วยยืดอายุการทำงานเกียร์ เพราะการการจราจรในกรุงเทพฯและสภาพอากาศ ทำให้รถยนต์ต้องวิ่งๆ หยุดๆ ซึ่งจะทำให้แรงดันน้ำมันสูง-ต่ำไม่คงที่ในระบบเกียร์สูงจากอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูง
ดูเพิ่มเติม
ปุ่ม OVER DRIVE คืออะไร
เกียร์ CVT คืออะไร ?
ทำไมเกียร์อัตโนมัติโยกจากเกียร์ P ยากแท้?
วิธีจอดรถบนทางลาดชันเพื่อถนอม ‘เกียร์ออโต้’ ของรถคุณ