รถ SUV รุ่นเก่า แต่ยังเก๋าอยู่ ที่ซื้อได้ในงบไม่เกิน 5 แสนบาท!!

ประสบการณ์ซื้อขายรถยนต์ | 7 พ.ย 2561
แชร์ 0

ตลาดรถ SUV ถือได้ว่ากำลังเติบโตอย่างมากในประเทศไทย ด้วยความอเนกประสงค์ที่ทำให้การใช้ชีวิตในประเทศดีๆ ที่ชีวิตลงตัวเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น หลายคนอาจจะกำลังเล็ง SUV มาไว้ใช้ แต่เดี๋ยวนี้ราคาก็แรงเป็นว่าเล่น อย่าลืมว่าตลาดมือสองก็มีรถ SUV รุ่นเจ๋งในราคา 5 แสนบาทให้เลือกอยู่ จะมีรุ่นไหนบ้างไปดูกันเลยค่ะ

ในตลาดรถตอนนี้ สำหรับคนที่กำลังมองหา SUV รุ่นเก่าที่ยังมีสมรรถนะดีเยี่ยม ในราคาที่คุ้มค่า วันนี้ Chobrod จะมาแนะนำ 7 รุ่นรถ SUV รุ่นเก่า แต่เก๋าอยู่ กับราคาเบาๆ ไม่เกิน 5 แสนบาท ให้ท่านผู้อ่านมาเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจอีกหนึ่งทาง จะมีรุ่นอะไรบ้าง ไปชมกันเลยค่ะ
 

Honda CR-V รุ่นปี 2010

Honda CR-V รุ่นปี 2010

Honda CR-V รุ่นปี 2010

Honda CR-V เจเนอเรชั่นที่ 2 ปี 2001-2006

Honda CR-V เจเนอเรชั่นที่ 2 ปี 2001-2006

Honda CR-V เจเนอเรชั่นที่ 2 ปี 2001-2006

Honda CR-V

ปัจจุบัน Honda CR-V ถือเป็นเจเนอเรชั่นที่ 5 แล้ว นับตั้งแต่มีการเปิดตัวเป็นครั้งแรก ในปี 1995 และถือว่าเป็นรถ SUV อีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก คำว่า CR-V เป็นอักษรที่ย่อมาจากคำว่า "Comfortable Runabout-Vehicle" (ยกเว้นในอังกฤษ Honda UK ใช้คำย่อว่า "Compact Recreational-Vehicle") โดดเด่น ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Real Time 4WD ติดตั้งปั๊มไฮดรอลิก 2 ตัวที่เพลาขับด้านหน้าและด้านหลัง ปรับการขับเคลื่อนระหว่างขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อให้เอง โดยที่ผู้ขับไม่ต้องสั่งการหรือควบคุมใดๆ สำหรับรุ่นที่จะขอแนะนำในวันนี้คือ Honda CR-V Generation 2 ที่เปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2001 โดยได้พัฒนาจากพื้นฐานของ Honda Civic (ES) มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ "Active Utility 'More' CR-V" ภายใต้การนำทีมออกแบบของ Mitsuhiro Honda ที่มีการปรับปรุงตัวรถให้ใหญ่ขึ้น และดีขึ้นกว่าเดิม เพิ่มเนื้อที่ห้องโดยสารให้โปร่ง กว้างขึ้น เพิ่มเนื้อที่จัดเก็บสัมภาระมากขึ้นถึง 527 ลิตร เปลี่ยนระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบอิสระ แม็กเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบปีกนก 2 ชั้น พร้อมเหล็กกันโคลง ระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ สำหรับจุดเด่นของ Honda CR-V เจเนอเรชั่น 2 คือ การซ่อนเบรกมือไว้บริเวณคอนโซลกลาง และคันเกียร์อัตโนมัติที่ปรับรูปแบบไว้บริเวณด้านข้างแผงหน้าปัด สำหรับ Honda CR-V เจเนอเรชั่น 2 เปิดตัวในไทยเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2545 โดยมีทั้งรุ่น 5 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง (รุ่น SF, EF) มีเฉพาะแบบเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร i-VTEC S ราคา 1,146,000 บาท และรุ่น 2.0 ลิตร i-VTEC E ราคา 1,196,000 บาท ซึ่งแพงกว่ารุ่นเดิมเพียง 50,000 บาทเท่านั้น สำหรับราคามือสองของ Honda CR-V เจเนอเรชั่น 2 ในปัจจุบันอยู่ที่ 155,000 – 300,000 บาท

ดูเพิ่มเติม
>> 
ตลาดรถ 2019 โตขึ้นต่อเนื่อง ชี้ SUV นำโด่งรุ่นยอดนิยม
>> Five Fact : New Nissan Teana 2019 ไมเนอร์เชนจ์กับ 5 จุดสนใจที่ทำให้ซาลูนหรูคันนี้น่าขับมากขึ้น

Nissan X-Trial เจเนอเรชั่นที่ 2

Nissan X-Trial เจเนอเรชั่นที่ 2

Nissan X-Trial เจเนอเรชั่นที่ 2

Nissan X-Trail 

หลังจากที่ NISSAN มีการเปิดตัว Nissan X-TRAIL รถสไตล์ SUV ในตลาดโลกครั้งแรกเมื่อปี 2001 ในเดือนมีนาคม ปี 2007 ก็ได้มีการเปิดตัว Nissan X-TRAIL เจเนอเรชั่นที่ 2 ที่มีการปรับรูปทรงภายนอกเพียงเล็กน้อยจนแทบดูไม่ต่างจากเจเนอเรชั่นแรกเท่าไรนัก การดีไซน์ตัวถังเน้นความเหลี่ยมของรูปทรง ที่มีโป่งข้างดูแข็งแรงบึกบึน ไฟหน้าทรงเหลี่ยมขนาดใหญ่ ผสานไปกับกระจังหน้าในสไตล์เข้มๆ ตามสไตล์นิสสัน ภาพรวมจะออกมาในสไตล์เรียบๆ ลุยๆ มากกว่าการเน้นความหรูหรา ขนาดมิติความยาวของตัวถังอยู่ที่ 4,630 มม. ความกว้าง 1,785มม. และความสูง 1,685 มม. โดยระยะฐานล้อของ Nissan X-TRAIL จะอยู่ที่ 2,630 มม. ภายในตกแต่งในโทนสีเข้ม ด้วยเบาะสีดำ คอนโซลด้านหน้าออกแบบมาในสไตล์เรียบๆ แต่ดูดี การใช้งานระบบควบคุมจากตำแหน่งคนขับสามารถใช้งานได้ง่ายและสะดวกสบาย ไม่มีปุ่มมากมายให้ยุ่งยาก พื้นที่โดยสารถือว่ากว้างขวางพอสมควร ในส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระมีขนาดกว้าง และใหญ่ สามารถใส่ของหรือขนวัสดุที่มีขนาดใหญ่ได้อย่างสบายๆ นอกจากนี้ยังมีลิ้นชักไว้สำหรับเก็บของจุกจิกได้อย่างเป็นสัดเป็นส่วนอย่าง เรียบร้อยอีกด้วย มาพร้อกับเครื่องยนต์ 2 ลิตร ที่มาพร้อมกับเกียร์ CVT รหัส MR20DE เครื่องยนต์เบนซินแบบ 4 สูบ ขนาด 1,997 ซี.ซี. ที่มีความกว้างกระบอกสูบอยู่ที่ 84.0 มม. และช่วงชักอยู่ที่ 90.1 มม. ฝาสูบแบบดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ พร้อมวาล์ว 16 ตัว โดยเครื่องยนต์ตัวนี้สามารถสร้างกำลังได้สูงสุด 136 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 20.0 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที ถ่ายทอดกำลังผ่านสู่ล้อคู่หน้าด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติแบบแปรผัน CVT พร้อม M-Mode ราคาเปิดตัว Nissan X-Trail ในไทยเมื่อปี 2009 อยู่ที่ 1.05 ล้านบาท และสำหรับราคาในตลาดมือสองปัจจุบันอยู่ที่ ประมาณ 399,000 บาท

Chevrolet Captiva รุ่นปี 2012

Chevrolet Captiva รุ่นปี 2012

Chevrolet Captiva รุ่นปี 2012

Chevrolet Captiva

Chevrolet Captiva รุ่น Minor Change ที่เปิดตัวไปในปี 2011 เป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 ของ Chevrolet Captiva รถอเนกประสงค์ที่ได้รับการพัฒนามาเพื่อตอบสนองต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ของครอบครัวคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง พร้อมกับรองรับกิจกรรมแบบแอดเวนเจอร์ และอีกหลากหลายกิจกรรมทุกไลฟ์สไตล์ ในช่วงสุดสัปดาห์ ขณะเดียวกันยังให้ความหรูหรา สำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในทุกการเดินทางอีกด้วย แนวคิดหลักในการออกแบบภายนอก เน้นความโดดเด่นในแบบรถอเนกประสงค์อย่างเช่นเจเนอเรชั่นที่ 1 แต่เพิ่มความล้ำสมัย และความทรงพลังมากขึ้น ด้านหน้าโดดเด่นด้วยกระจังหน้าสองชั้น ดูอัลพอร์ท (dual port-grille) ขนาดใหญ่ พร้อมกรอบโครเมียมหรู สะท้อนเอกลักษณ์ใหม่ของ Chevrolet คาดกลางด้วยโลโก้โบว์ไทสีทอง ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น และใช้วัสดุพิเศษที่เพิ่มมิติบนพื้นผิวโลโก้ กรอบไฟหน้าดีไซน์ใหม่ เน้นความดุดันคู่กับไฟโปรเจคเตอร์ ฝากระโปรงและกันชนหน้าได้รับการออกแบบใหม่ ให้มีเส้นสายลื่นไหลในทุกมุมมอง โดดเด่นด้วยช่องรับอากาศ และไฟตัดหมอกรูปทรงใหม่ ที่ฝังตัวอยู่บริเวณด้านข้างของกันชนหน้า เติมความบึกบึนด้วยแผ่นกันกระแทกสีบรอนซ์ใต้กันชนหน้า ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่น ด้านท้ายรถติดตั้งสปอยเลอร์หลัง พร้อมไฟเบรกดวงที่สาม บริเวณกันชนได้รับการติดตั้งแผ่นกันกระแทก รับกับปลายท่อไอเสียคู่โครเมียมแบบสปอร์ต

แม้ว่าจะเป็นรถอเนกประสงค์ แต่ Chevrolet Captiva ได้รับการดีไซน์ให้มีภาพลักษณ์โฉบเฉี่ยว หลังคาถูกออกแบบให้โค้งมน มีกลิ่นอายสปอร์ตแบบรถคูเป้ ขณะเดียวกัน ยังเพิ่มรายละเอียดความหรูหราอย่างวัสดุโครเมียมบริเวณกระจกบังลมข้าง ก้านเปิดประตูสีเงิน กระจกข้างพร้อมไฟเลี้ยว และรางอเนกประสงค์บนหลังคา ห้องโดยสารของ แคปติวา ใหม่ ผสานความอเนกประสงค์ ความสะดวกสบาย และหรูหราในแบบรถซีดานพรีเมียม เน้นความลื่นไหลของคอนโซล ไปถึงแผงประตูข้างของห้องโดยสารตอนหน้า พร้อมกับใช้วัสดุสีโทนสว่างอย่างเมทัลลิก ทำให้ห้องโดยสารดูโปร่ง เบาะหุ้มหนังอย่างประณีต เบาะฝั่งผู้ขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมฟังก์ชั่นการออกแบบที่ครบครัน

มาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่ 4 รุ่นที่มาพร้อมเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ โดยเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลคอมมอนเรล 2.2 ลิตร ให้กำลัง 163 และ 184 แรงม้า และเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.4 ลิตร 171 แรงม้าและเครื่องยนต์เบนซิน V6 Direct Injection 3.0 ลิตร 258 แรงม้าที่มาพร้อมระบบ Variable Valve Timing (VVT) โดยทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลจะมีทั้งระบบขับเคลื่อน Front Wheel Drive และ All Wheel Drive นอกจากนั้น Chevrolet Captiva ยังได้รับการปรับปรุงระบบกันสะเทือนเพื่อความสุนทรีย์ในการขับและช่วยทำให้การเข้าโค้งดีขึ้น ในราคาเปิดตัวที่ 1,198,000 - 1,580,000 บาท และสำหรับราคารถมือสองในตลาดอยู่ที่ 399,000 – 499,000 บาทเท่านั้น

Suzuki SX4 Compact Crossover SUV​ รุ่นปี 2009

Suzuki SX4 Compact Crossover SUV​ รุ่นปี 2009

Suzuki SX4 Compact Crossover SUV​ รุ่นปี 2009

Suzuki SX4

Suzuki SX4 เป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็ก (Compact Car) เริ่มผลิตเมื่อปี 2006 และมีจำหน่ายอยู่ทั่วโลก โดยเป็นรถยนต์ที่ Fiat และ Suzuki ร่วมกันผลิต สำหรับที่มาของชื่อ SX4 มาจาก "Sports X-over for 4 seasons"  ซึ่งเป็นการผสานความเป็นรถ SUV ผนวกกับรถยนต์ขนาดเล็ก หรือ Compact Crossover SUV รถยนต์ขนาดเล็กสมรรถนะ สำหรับตัวถัง มีตัวถัง 2 แบบ โดยส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นแฮทช์แบค 5 ประตู แต่ในบางประเทศ จะมีตัวถังซีดาน 4 ประตู ซึ่งเป็นการร่วมมือกับบริษัท Maruti Suzuki ในอินเดียเพื่อผลิตรุ่นซีดานออกมา มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ,1.6 และ 2.0 ลิตร และมีเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1.3 ,1.6 ,1.9 และ 2.0 ลิตร และระบบเกียร์เป็นเกียร์ธรรมดา 5 และ 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด แต่ในปี 2010 ได้มีการเปิดตัวรุ่นเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ด้วย

Suzuki SX4 ถือได้ว่าทางเลือกใหม่ของคนเมืองที่รักการเดินทางไกลในช่วงปี 2006 สำหรับผู้ที่มองหารถยนต์คันใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ตอบสนองความต้องการอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตในเมืองหลวงอันวุ่นวาย หรืออยากจะขับรถออกเมืองหาความสงบตามธรรมชาติ ภายใต้รถคันเดียว

รูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นของ Suzuki SX4 อยู่ที่ไฟหน้าแบบ HID (High Intensity Discharge) แบบใหม่ โดดเด่นสะดุดตา  พร้อมไฟตัดหมอกที่กันชนหน้า ภายในรถมีโครงสร้างเบาะที่ได้สัดส่วน แต่ว่าโครงสร้างของรถค่อนข้างสั้น ทำให้รู้สึกค่อนข้างแคบไปสักหน่อย ซึ่งคนที่มีรูปร่างใหญ่อาจจะพบปัญหานี้ได้ สามารถพับเบาะหลังในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มความจุในการบรรทุกสัมภาระได้ ติดตั้งระบบเครื่องเสียง 9 ลำโพง พร้อมปรับระดับความดังอัตโนมัติ (AVC หรือ Auto Volume Control) มีที่วางแก้วน้ำ 7 จุด พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน ทำจากยูริเทน สไตล์สปอร์ต ขณะที่หน้าปัดได้รับการออกแบบให้มีขนาดใหญ่ และโดดเด่น Suzuki SX4 ตั้งราคาขายไว้ที่ 799,000 บาท และราคามือสองในปัจจุบันอยู่ที่ 295,000 – 350,000 บาท

Toyota Fortuner รุ่นปี 2005 เป็นเจเนอเรชั่นแรกของตระกูล Fortuner

Toyota Fortuner รุ่นปี 2005 เป็นเจเนอเรชั่นแรกของตระกูล Fortuner

Toyota Fortuner รุ่นปี 2005 เป็นเจเนอเรชั่นแรกของตระกูล Fortuner

Toyota Fortuner

จากการรีวิว Toyota Fortuner รถยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูงขนาดกลาง (Mid-size SUV) ของ Toyota โดยเริ่มผลิตครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2004 โดยใช้โครงสร้างเดียวกันกับ Toyota Hilux Vigo หรือ Toyota Hilux Vigo Champ และ Toyota Innova ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2004 Toyota Fortuner ได้เปิดตัวพร้อมกับ Toyota Innova ภายใต้โครงการ “IMV: Innovative International Multi-Purpose Vehicle” สำหรับ Toyota Fortuner เจเนอชั่นแรกที่มีการผลิตในไทยมีการปรับโฉม 2 ครั้งด้วยกัน โดยมีการปรับโฉมครั้งแรกในปี 2008 มีการปรับโฉมบางส่วน (ไมเนอร์เชนจ์) ได้แก่ ปรับปรุงภายนอกใหม่ โดยได้เปลี่ยนกระจังหน้าใหม่ พร้อมกับไฟหน้าใหม่เป็นแบบโปรเจกต์เตอร์ การออกแบบไฟท้ายใหม่ ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 17 นิ้ว มีระบบ VSC และ TRC เปลี่ยนจานเบรกให้ใหญ่ขึ้น เพิ่มระบบเสริมแรงเบรก BA, มีเครื่องเล่นดีวีดีพร้อมเนวิเกเตอร์ให้เลือก และเพิ่มรุ่นดีเซลขับเคลื่อน 2 ล้อ และการปรับโฉมครั้งที่ 2 ในปี 2011 ที่มีการปรับโฉมครั้งใหญ่ (บิ๊ก ไมเนอร์เชนจ์) โดยภายนอกมีการเปลี่ยนไฟหน้าเป็นซีนอน-โปรเจกต์เตอร์พร้อมที่ฉีดไฟหน้า มีการออกแบบกระจังหน้า และไฟท้ายใหม่ซึ่งคล้ายโดนัท กันชนหน้าใหม่ มีไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง กันชนท้ายใหม่ โดยมีคิ้วสแตนเลสเขียนว่า FORTUNER เหนือกรอบทะเบียน ทับทิมที่กันชนทรงใหม่ ย้ายตัวอักษรบอกรุ่นเครื่องยนต์ไว้ด้านท้าย และในปีถัดมาได้เปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติลูกใหม่เฉพาะรุ่นดีเซลเปลี่ยนจากเดิม 4 สปีดเป็น 5 สปีด เพิ่มรุ่นย่อย 2.5G เกียร์อัตโนมัติ และปรับกำลังรุ่น 3000cc เป็น 171 แรงม้า หน้าตาภายนอกเหมือนเดิม ส่วนภายในเพิ่มระบบนำทาง Eco Navi พร้อมประมวลผลพฤติกรรมการขับขี่แบบ Real Time ความบันเทิงระดับเครื่องเล่น DVD และจอแสดงผล LCD แบบสัมผัส ขนาด 6.1 นิ้ว
 

Toyota Fortuner SUV/PPV ที่ใช้โครงสร้างเดียวกันกับ Toyota Hilux Vigo​ และ Toyota Innova ​

Toyota Fortuner SUV/PPV ที่ใช้โครงสร้างเดียวกันกับ Toyota Hilux Vigo​ และ Toyota Innova ​

สำหรับ Toyota Fortuner รุ่นปี 2005 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 3.0 litre ขับเคลื่อนสี่ล้อ แบบ Full Time 4 Wheels Drive เครื่องยนต์ IKD-FTV ดีเซล 4 สูบวางเรียง DOHC 16 Valve ขนาด 2982 ซีซี พร้อม Turbocharger with Intercooler แรงม้าสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3400 รอบต่อนาที(เครื่องเบนซิน 160แรงม้า ที่ 5200 รอบต่อนาที) แรงบิดสูงสุด 345 newton-เมตร/รอบต่อนาที (เครื่องเบนซิน 241นิวตัน-เมตร/รอบต่อนาที) ขนาดตัวรถ 4.70 X 1.85 X 1.8 เมตร (ไม่รวมความสูงของราวหลังคา อีกประมาณ 10 ซม.) เกียร์ อัตโนมัติเดินหน้า 4 จังหวะ พร้อมคันเกียร์ควบคุมการขับเคลื่อนสี่ล้อ (เกียร์ Slow) ระบบเบรค Disc Brake หน้าพร้อม ช่องครีบระบายความร้อน หลัง ดรัมเบรก ในส่วนของดีไซน์ภายนอก Toyota Fortuner ก็ยังคงลักษณะภายนอกอย่างใกล้เคียงกันในทุกรุ่น เพียงแต่รุ่นแรกอาจจะดูไม่หรูหราเท่ารุ่นปัจจุบันเท่านั้น ในส่วนของราคามือสองในปัจจุบันอยู่ที่ 499,000 บาท และสำหรับรุ่น TOP อาจจะเกิน 5 แสนไปบ้างนิดหน่อย แต่นั่นก็พิสูจน์ให้เห็นว่าแม้เวลาจะผ่านมาเกือบ 15 ปีนับตั้งแต่วันเปิดตัว Toyota Fortuner ก็ยังคงราคาไว้ได้อย่างดียิ่ง โดยที่ราคาถือว่าตกลงน้อยมากเมื่อเทียบกับรถรุ่นอื่นๆ ซึ่ง Toyota Fortuner รุ่นปัจจุบันก็ถือได้ว่าราคาแทบไม่ตกจากตลาดเลย

 

Ford Everest รุ่นปี 2003-2007

Ford Everest รุ่นปี 2003-2007

Ford Explorer ต้นแบบของ Ford Everest

Ford Explorer ต้นแบบของ Ford Everest

Ford Everest

Ford Everest รุ่นแรกได้รับการพัฒนาขึ้นภายใต้รหัสโครงการ U268 จากพื้นฐานของรถกระบะ Ford Ranger และ Masda Fighter รุ่นเดิม ปี 1997-2006 Ford เปิดตัว Ford Everest เป็นครั้งแรกในโลกที่เมืองไทย ในปี 2003 ในช่วงเดียวกับวาระฉลองครบรอบ 100 ปีของฟอร์ดทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตหลักอยู่ที่โรงงาน ออโตอัลลายแอนซ์ (AAT) ระยอง เพื่อส่งขึ้นโชว์รูมในเมืองไทย และลงเรือไปทำตลาดในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ตอนนั้นมีเครื่องยนต์ให้เลือกเฉพาะรหัส WL-T 4 สูบ 2,500 ซีซี เทอร์โบ จาก Ford Ranger รุ่นเดิม จากนั้น ก็ทำยอดขายมาได้เรื่อยๆเปื่อยๆ ไม่ได้หวือหวาเหมือนอย่างที่ฟอร์ดตั้งใจไว้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ที่มาในสไตล์เรียบๆ เชยๆ คล้ายๆกับ การนำบั้นท้ายครึ่งคันหลังของ Ford Explorer รุ่นแรก มาดัดแปลงเข้ากับโครงสร้างครึ่งคันหน้าของ Ford Ranger  รุ่นเดิม แม้จะได้เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ จาก Prodrive มาช่วยให้การกระจายแรงบิดสู่ล้อขับเคลื่อนเป็นไปด้วยดียิ่งขึ้น

Ford Everest รุ่นปรับโฉมใหม่ปี 2009

Ford Everest รุ่นปรับโฉมใหม่ปี 2009

ในปี 2006 ได้มีการปรับรูปลักษณ์ภายนอกของ Ford Everest ที่สร้างขึ้นภายใต้โครงสร้างแชสซีเดิม แม้จะดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างเด่นชัด แต่ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายดั้งเดิมไว้ และเกลาด้วยชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้า และชุดไฟหน้าจาก Ford Ranger ใหม่ ปรับเปลี่ยนลวดลายของกระจังหน้า กันชนหน้า พร้อมชุดไฟตัดหมอกหน้าแบบใหม่ ผสานกับแนวเส้นตัวถังที่ยังคงเน้นความเหลี่ยมสันเป็นหลักเหมือนเดิม หากแต่ปรับปรุงให้มีกลิ่นอายจาก Ford Explorer รุ่นที่ 3 แต่ดูร่วมสมัยอย่างลงตัวมากยิ่งขึ้น ช่วงท้ายยังคงถอดแบบออกมาจากรุ่นเก่า ความต่อเนื่องของเส้นสายจากหน้า จรดหลัง จุดขายหลักของ Ford Everest อยู่ที่การพับเบาะหลังเข้าออกได้ แบบ SYNCRONIZED คือ ดึงคันโยก จนสุด เพียงครั้งเดียว ชุดพนักพิงหลังจะพับลงมา พร้อมกับชุดเบาะจะยกคว่ำไปข้างหน้า เพื่อความสะดวกในการเข้าออก ราคาในช่วงเปิดตัวอยู่ที่ 999,000 – 1,119,000 บาท และราคามือสองในปัจจุบันอยู่ที่ 369,000 – 392,000 บาท (ในรุ่นปี 2007) และ 195,000-295,000 บาท (สำหรับรุ่นปี 2004-2006)

Isuzu MU-7 รุ่นปี 2005

Isuzu MU-7 รุ่นปี 2005

Isuzu MU-7 รุ่นปี 2005

Isuzu MU-7

Isuzu MU-7 คือรถ SUV/PPV รุ่นแรกในประเทศไทยี่มีการผลิตเอง โดย Generation1ใช้ชื่อว่า Cameo และ Vega(ในเวลาต่อมา) ซึ่งใช้พื้นฐานมาจาก TFR เปิดตัวที่ญี่ปุ่นตั้งแต่ปี1989 ตัวถังเป็นแบบ 3 ประตูในตอนแรก และใช้ชื่อว่า Isuzu MU และยังมีแบบ2ประตูแล้วมีกระบะท้ายขายในอเมริกาชื่อ Isuzu Amigo และรุ่น 5 ประตูใช้ชื่อว่า Isuzu Wizard ขายในอเมริกาในชื่อ Isuzu Rodeo ต่อมา Isuzu ประเทศไทยเห็นว่าไทยรุ่งเอารถกระบะของตัวเองมาดัดแปลงขายได้ Isuzu จึงเริ่มเอาเข้ามาขายในเดือนมิถุนายนปี1993 กระจังหน้าของรุ่นที่ขายในไทยจะเหมือนกับเวอร์ชันอเมริกา และไม่มียางอะไหล่ห้อยท้าย มีพลาสติกยูรีเทนอยู่ที่ขอบประตูล้อแมกซ์15นิ้ว ตัวรถไม่ได้ยกสูง ลักษณะรถในทีแรกจึงดูเหมือน Wagon มากกว่า SUV ใน1998ประเทศไทยก็ออกรุ่นใหม่เปลี่ยนชื่อเป็น Isuzu Vega โดยตัวรถเป็นยกสูงขับเคลื่อน4ล้อแล้วเปลี่ยนเครื่องจาก 2500 di เป็น 2800 diturbo 95แรงม้า โดยที่กันชนจะมีการ์ดที่กันชนหน้า และด้านท้ายมียางอะไหล่ห้อยท้ายมีไฟเบรกดวงที่ 3 บนหลังคาเปลี่ยนกระจกมองข้างแบบใหม่ สำหรับชื่อ Isuzu Mu-7 ได้นำมาใช้ใน Generation2 เปิดตัวครั้งแรกปลายปี 2004 โดยมีทั้งขับเคลื่อน2ล้อและ4ล้อในรุ่นนี้มี7ที่นั่งแล้วและฝากระโปงท้ายไม่มียางอะไหล่ห้อยท้ายโดยใช้เครื่อง3000cc turbo intercooler common rail 146 แรงม้า ในตุลาคมปี 2005 ก็ได้ไมเนอร์เชนจ์เล็กๆ โดยเปลี่ยนกระจังหน้าเป็นแบบมีลายกราฟิกแต่ทรงเดิม ในเดือนสิงหาคมปี 2006 ก็ได้ทำการ Big Minor change โดยเปลี่ยนไฟหน้าทรงใหม่จากเดิมเป็นซีนอนเป็นโปรเจคเตอร์เปลี่ยนกระจังหน้าใหม่กันชนทรงใหม่มีสเกิร์ตด้านหลัง ภายในเปลี่ยนหน้ากากแอร์เป็นทรงกลมมีหน้าปัดเรืองแสงเปลี่ยนสีเบาะเป็นสีเบจวิทยุซีดีเล่นmp3ได้แล้วพวงมาลัย4ก้านทรงใหม่ โดยเพิ่มเครื่องยนต์ใหม่3000 ddi vgs turbo intercooler vgs turbo 163แรงม้า เรียกได้ว่านับตั้งแต่รุ่น Big Minor Change เป็นต้นมา Isuzu MU-7 ก็ได้ยึดโครงสร้าง และหน้าตาในลักษณะเดียวกันเรื่อยมา โดยเพิ่มความโฉบเฉี่ยว ดุดัน ให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น สำหรับราคามือสองในปัจจุบันอยู่ที่ 399,000 – 485,000 บาท (ในรุ่นปี 2007-2008) และประมาณ 275,000 บาท (ในรุ่นปี 2005)

ด้วยความหลากหลายของฟังก์ชั่นการใช้งาน ทำให้ SUV ถือเป็นรถแห่งยุคสมัยได้เลยทีเดียว

ด้วยความหลากหลายของฟังก์ชั่นการใช้งาน ทำให้ SUV ถือเป็นรถแห่งยุคสมัยได้เลยทีเดียว

ดูเพิ่มเติม
>> 
รีวิว NEW ISUZU MU-X 2018
>> รีวิว Ford Everest Minorchange 2018

เป็นอย่างไรบ้างคะกับทั้ง 7 รุ่นรถ SUV ราคาไม่เกิน 5 แสนบาทที่ Chobrod แนะนำกันในวันนี้ ถือได้ว่าราคาไม่แพง แถมได้รถคุณภาพเยี่ยม ดีไซน์คลาสสิกมาใช้ตอบโจทย์การดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างสมบูรณ์เลยทีเดียว แล้วถ้าได้รถสภาพเนี๊ยบก็ถือได้ว่าโชคเข้าข้างอย่างมากเลยทีเดียวค่ะ สำหรับบทความเรื่องรถมือสองสามารถติดตามได้ที่ Chobrod.com นะคะ

ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสองสภาพดีและน่าเชื่อถือ เชิญที่นี