ติเก่ง...! รวม 4 ออพชั่นน่าผิดหวังของ MG3 ไมเนอร์เชนจ์ 2018

ประสบการณ์ซื้อขายรถยนต์ | 22 มิ.ย 2561
แชร์ 2

เปิดตัวไปแล้วสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2018 ที่ผ่านมากับ All New MG3 หรือจริงๆ คือ MG3 บิ๊ก ไมเนอร์เชนจ์ แต่ถึงแม้จะเปลี่ยนไปเยอะ เปลี่ยนไปมาก แต่ก็ยังมีบางจุดที่เวอร์ชั่นขายในไทยน่าจะทำได้ดีกว่านี้ มีอะไรบ้าง Chobrod จะพาไปดูกัน

ติเก่ง...! รวม 4 ออพชั่นน่าผิดหวังของ MG3 ไมเนอร์เชนจ์ 2018  

เรียกได้ว่าเปลี่ยนไปจนจำภาพเดิมแทบไม่ได้สำหรับการมาใหม่ใน MG3 ครั้งนี้ ที่ทางค่ายเปลี่ยนรุ่นนี้ให้ใหม่หมดตั้งแต่กระจัง กันชน ฝากระโปรง รวมไปถึงฝาประตูหลัง และกันชนหลัง สวยดูดีขึ้นกว่าเดิมเป็นกอง พร้อมกับดีไซน์ของภายในใหม่ รีเฟรชให้น่าขับมากย่ิงขึ้น อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีเต็มขั้นที่รถยุคนี้ควรมีแทบทั้งสิ้นทั้ง i-Smart, ระบบสั่งการด้วยเสียงภาษาไทย และแน่นอนกับ Sunroof ที่มีมาให้เหมือนเช่นรุ่นก่อน ส่วนในเรื่องเครื่องยนต์ก็ทำการอัพเกรดเพิ่มแรงม้ามาอยู่ที่ 112 ตัว พร้อมแรงบิด 150 Nm จับคู่กับเกียร์ลูกใหม่แบบอัตโนมัติ 4 Speed เพื่อตัดปัญหาความจุกจิกที่ผู้ใช้ในรุ่นก่อนเคยเจอ โดยราคามีออกมาให้เลือก 4 เกรดดังต่อไปนี้ 

  • MG3 รุ่น C ราคา 519,000 (แพงกว่าเดิม +40,000)
  • MG3 รุ่น D ราคา 549,000. (แพงกว่าเดิม +40,000)
  • MG3 รุ่น X Sunroof ราคา 589,000 (แพงกว่าเดิม +30,000)
  • MG3 รุ่น V Sunroof ราคา 629,000 (แพงกว่าเดิม +50,000)

ดูเพิ่มเติม
>> 
Five Fact : MG3 ไมเนอร์เชนจ์ 2018 มีอะไรใหม่น่าสนใจบ้างต้องตามไปดู!
>> ALL NEW MG3 ประเทศไทย เปิดตัวเป็นทางการ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “มองโลกให้สนุกทุกเส้นทาง”

MG3 ใหม่มีมาให้เลือก 4 เกรดเช่นเดิม พร้อมหน้าตาที่ดูดีกว่าเดิม เยอะ!

ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลภายใต้ความสดใหม่นี้ มองผ่านมันก็อาจจะดีไปเสียหมด แต่ก็มีบางจุดที่น่าเสียดายกับออพชั่นอุปกรณ์บางอย่างที่ไม่ให้มา หรือมาแบบกั๊กๆ ที่คิดว่าทาง MG3 เวอร์ขายในไทยน่าจะให้มาได้ดีกว่านี้ มีจุดไหนบ้าง Chobrod จะพาไปดูกัน 

1.ถุงลมแค่สองใบ มันใช่หรือ?
จากที่เวอร์ชั่นแดนมังกรของรุ่นนี้ ระบบความปลอดภัยในเรื่องของจำนวนถุงลมอัดแน่นไว้เต็มคัน ทั้งคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลม รวมไปถึงรถที่ระดับเล็กกว่าอย่าง Toyota Yaris, Suzuki Swift ต่างก็มาพร้อมกับถุงลมที่มากกว่าแค่สองคู่หน้าทั้งสิ้น แต่ทำไมในรถที่ระดับเครื่องยนต์ใหญ่กว่า อย่าง MG3 คันนี้ กลับมีถุงลมมาให้แค่ 2 ใบคู่หน้าเท่ากับรุ่นเดิมแค่นั้น ไม่มีการปรับเพิ่มอะไรให้แก่ผู้ใช้เลย ทั้งที่ราคาขายเพิ่มมากกว่าเดิมในแต่ละเกรดไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นอย่างน้อยให้ม่านถุงลมมาสักหน่อย ก็น่าจะทำให้ผู้ซื้อ Wow! ได้มากกว่านี้

ถุงมลมคู่หน้าอาจไม่เพียงพอแล้วหรือเปล่าสำหรับรถยุคนี้ 

และในเมื่อ MG3 ที่มากับทางเลือกของผู้ใช้ที่ต้องการรถสำหรับวิ่งทางไกลได้ดี เครื่องยนต์ระดับ 1.5L ขับออกต่างจังหวัดเครื่องแรงมากกว่าแค่รถอีโค คาร์ ดังนั้นเรื่องความปลอดภัยก็ควรมีให้มากกว่านี้ จำนวนถุงลม 2 ใบที่คู่หน้า ถามว่าพอไหม? ก็อาจจะเพียงพอ แต่จะดีกว่าไหม เมื่อรถที่ขึ้นชื่อว่าเป็น “เจ้าพ่อแห่งออพชั่น” ให้มากกว่าในราคาที่เท่ากัน มีม่านถุงลมมาให้ด้วย แต่กลับต้องผิดหวังเล็กเมื่อนิยามนี้อาจใช้ไม่ได้แล้วสำหรับ MG3 โฉมนี้ 

2. เบรกหลังยังเป็นดรัม 
อีกหนึ่งจุดที่คล้ายกับหัวข้อแรกที่ออพชั่นของรุ่นนี้เหมือนจะกั๊กๆ กับเรื่องรูปแบบของเบรกหลัง ยังคงใช้เป็นแบบดรัมเบรกธรรมดาแบบรถเล็กทั่วไปอยู่ หรือจะเป็นเพราะว่าส่วนนี้เป็นจุดเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครเห็นความสำคัญในการพัฒนา ต่างไปดูที่ระบบความปลอดภัยที่นำมาใช้ร่วมอื่นๆ มากกว่า แต่ลองคิดดูสิ ว่าถ้า MG3 ไมเนอร์เชนจ์ 2018 คันนี้มาพร้อมกับ ดิสก์เบรกครบ 4 ล้ออย่าง Suzuki Swift, Toyota Vios มันจะทำให้ตัวรถดูน่าสนใจมากขึ้นแค่ไหน 

แต่ถึงแม้เบรกหลังจะยังคงใช้เป็นดรัมเบรกอยู่ MG3 ใหม่ก็ยังมีดีที่ระบบความปลอดภัยในการช่วยเบรกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น 

  • ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS(Anti-Lock Braking System)
  • พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution)
  • ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)

เบรกหลังยังเป็นแบบดรัมเบรกอยู่ ทั้งที่แรงม้ามากขึ้น

อาจมีคนแย้งว่าดรัมเบรกหลังก็เอาอยู่ จะมีไปทำไมดิสก์หลัง ไม่เถียงเลยในข้อนี้ ประสิทธิภาพของดรัมเบรกถือว่าใช้ได้ดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าดิสก์เบรก แต่การเป็นดิสก์เบรก 4 ล้อคือสิ่งที่เห็นเป็นรูปธรรมได้มากกว่าระบบต่างๆ ที่อยู่ภายใน และถ้า MG3 ให้มาเป็นดิสก์เบรกทั้งสี่ล้อเทียบเท่าหรือเหนือกว่าเจ้าตลาดยอดนิยมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น Honda Jazz, City, Mazda2 ก็น่าจะทำให้รุ่นนี้ก้าวขึ้นเป็นรถที่สนใจได้มากขึ้นกว่าเดิมอีกระดับได้เลยทีเดียว 

3. มือเปิดฝาประตูหลัง ไม่เป็นแบบ ZS
น่าเสียดายที่ MG3 รุ่นนี้ไม่ทำมือเปิดประตูหลังออกมาเป็นแบบเพื่อนร่วมค่าย MG ZS ต้องเปิดจากด้านล่างของประตูหลัง ที่ออกแบบมาพร้อมที่จับ ซึ่งรูปแบบการเปิดของ MG ZS แบบกดเปิดบนโลโก้นั้นถือว่าเป็นการสร้างคาแรคเตอร์ได้ดีให้กับรถจาก MG ได้ไม่น้อย ให้อารมณ์กับผู้ใช้เปรียบรถยุโรปหลายๆ ค่ายทั้ง Volkswagen หรือ Mercedes-Benz แต่น่าเสียดายที่ MG ไม่นำรูปแบบนี้มาใช้กับ MG3 ด้วย

มือเปิดที่โลโก้แบบ ZS น่าเสียดายที่ MG3 ไม่ได้มา

4. แอร์ออโต้ยังไม่มา 
ในเมื่อรุ่นขายดีของเจ้าตลาดไม่ว่าจะเป็น Vios, Jazz, Yaris หรือ Yaris ATIV ต่างมีระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมจอ LED มาให้ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ MG3 ไมเนอร์เชนจ์นี้ กลับเป็นแค่แอร์ปรับไฟฟ้าธรรมดาเท่านั้น และพาให้ส่วนของคอนโซลหน้าตรงกลาง ดูโล่งแปลกๆ เข้าไปอีก ยุคนี้มันยุคดิจิตอล อย่างน้อยในรุ่นท็อปที่แพงกว่าตัวรองถึง 40,000 บาท ก็น่าจะมีมาให้สักหน่อย เมื่อรถเป็น Smart Car ชาญฉลาดกับเทคโนโลยี i-Smart พร้อมคุณสมบัติการใช้งานมากมายแล้ว ถ้ามีแอร์ดิจิตอลมาอีกน่าจะทำให้ตัว MG3 คันนี้ เป็นอีกรุ่นที่มองข้ามไม่ได้เลยกับรถระดับ B-Segment 

MG3 มาแค่แอร์มือหมุนไฟฟ้าธรรมดาเท่านั้น ไม่ใช่แอร์ดิจิตอล

ซึ่ง MG3 ไมเนอร์เชนจ์เปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่นี้ มีสีภายนอกออกมาให้เลือกถึง 5 สี พร้อมลูกเล่นของสีหลังคาทั้ง ขาว-ดำ ดังต่อไปนี้ 

  • สีแดง Ruby Red + หลังคาดำ  
  • สีเหลือง Tudor Yellow + หลังคาดำ  
  • สีน้ำเงิน Marina Blue + หลังคาขาว  
  • สีขาว Arctic White
  • สีดำ Black Knight

 

หลังคาขาว หรือหลังคาดำ เลือกได้ตามใจชอบเลย

และนี่คือส 4 ออพชั่นที่ทาง MG3 น่าจะทำได้ดีกว่านี้ เพียงแค่หนึ่งความคิดเห็นที่น่าจะช่วยให้คุณที่กำลังมองๆ สนใจในรุ่นนี้อยู่ ตัดสินใจซื้อได้ไม่มากก็น้อย และใช่ที่ 4 ข้อนี้เป็นออพชั่นที่น่าผิดหวัง แต่ทว่าส่วนอื่นๆ ของ MG3 ไมเนอร์เชนจ์ก็ทำออกมาได้ดีกว่าตัวก่อนหน้าอย่างน่าประทับใจ เอาเป็นว่าอย่าลืมบอกกับเรา Chobrod สักหน่อยว่าคุณชอบอะไรใน MG3 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่คันนี้ ที่คอมเม้นท์ด้านล่างนี้ได้เลย 

ดูเพิ่มเติม
>> 
New MG 3 เปิดตัวควบ 2 ชาติ! ไทยเตรียมเปิดตัวโฉมใหม่ MG 3 แฮทช์แบ็ค กลางปีนี้.. ขณะที่ จีน เผยโฉมแล้วเช่นกัน
>> ออสเตรเลียขยายเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย MG Motor

pranut