ตลาดรถ SUV ถือได้ว่ากำลังเติบโตอย่างมากในประเทศไทย ด้วยความอเนกประสงค์ที่ทำให้การใช้ชีวิตในประเทศดีๆ ที่ชีวิตลงตัวเป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น หลายคนอาจจะกำลังเล็ง SUV มาไว้ใช้ แต่เดี๋ยวนี้ราคาก็แรงเป็นว่าเล่น อย่าลืมว่าตลาดมือสองก็มีรถ SUV รุ่นเจ๋งในราคา 5 แสนบาทให้เลือกอยู่ จะมีรุ่นไหนบ้างไปดูกันเลยค่ะ
ในตลาดรถตอนนี้ สำหรับคนที่กำลังมองหา SUV รุ่นเก่าที่ยังมีสมรรถนะดีเยี่ยม ในราคาที่คุ้มค่า วันนี้ Chobrod จะมาแนะนำ 7 รุ่นรถ SUV รุ่นเก่า แต่เก๋าอยู่ กับราคาเบาๆ ไม่เกิน 5 แสนบาท ให้ท่านผู้อ่านมาเป็นตัวเลือกในการตัดสินใจอีกหนึ่งทาง จะมีรุ่นอะไรบ้าง ไปชมกันเลยค่ะ
Honda CR-V รุ่นปี 2010
Honda CR-V เจเนอเรชั่นที่ 2 ปี 2001-2006
ปัจจุบัน Honda CR-V ถือเป็นเจเนอเรชั่นที่ 5 แล้ว นับตั้งแต่มีการเปิดตัวเป็นครั้งแรก ในปี 1995 และถือว่าเป็นรถ SUV อีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก คำว่า CR-V เป็นอักษรที่ย่อมาจากคำว่า "Comfortable Runabout-Vehicle" (ยกเว้นในอังกฤษ Honda UK ใช้คำย่อว่า "Compact Recreational-Vehicle") โดดเด่น ด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Real Time 4WD ติดตั้งปั๊มไฮดรอลิก 2 ตัวที่เพลาขับด้านหน้าและด้านหลัง ปรับการขับเคลื่อนระหว่างขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อให้เอง โดยที่ผู้ขับไม่ต้องสั่งการหรือควบคุมใดๆ สำหรับรุ่นที่จะขอแนะนำในวันนี้คือ Honda CR-V Generation 2 ที่เปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2001 โดยได้พัฒนาจากพื้นฐานของ Honda Civic (ES) มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ "Active Utility 'More' CR-V" ภายใต้การนำทีมออกแบบของ Mitsuhiro Honda ที่มีการปรับปรุงตัวรถให้ใหญ่ขึ้น และดีขึ้นกว่าเดิม เพิ่มเนื้อที่ห้องโดยสารให้โปร่ง กว้างขึ้น เพิ่มเนื้อที่จัดเก็บสัมภาระมากขึ้นถึง 527 ลิตร เปลี่ยนระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบอิสระ แม็กเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบปีกนก 2 ชั้น พร้อมเหล็กกันโคลง ระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ สำหรับจุดเด่นของ Honda CR-V เจเนอเรชั่น 2 คือ การซ่อนเบรกมือไว้บริเวณคอนโซลกลาง และคันเกียร์อัตโนมัติที่ปรับรูปแบบไว้บริเวณด้านข้างแผงหน้าปัด สำหรับ Honda CR-V เจเนอเรชั่น 2 เปิดตัวในไทยเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2545 โดยมีทั้งรุ่น 5 ที่นั่ง และ 7 ที่นั่ง (รุ่น SF, EF) มีเฉพาะแบบเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร i-VTEC S ราคา 1,146,000 บาท และรุ่น 2.0 ลิตร i-VTEC E ราคา 1,196,000 บาท ซึ่งแพงกว่ารุ่นเดิมเพียง 50,000 บาทเท่านั้น สำหรับราคามือสองของ Honda CR-V เจเนอเรชั่น 2 ในปัจจุบันอยู่ที่ 155,000 – 300,000 บาท
ดูเพิ่มเติม
>> ตลาดรถ 2019 โตขึ้นต่อเนื่อง ชี้ SUV นำโด่งรุ่นยอดนิยม
>> Five Fact : New Nissan Teana 2019 ไมเนอร์เชนจ์กับ 5 จุดสนใจที่ทำให้ซาลูนหรูคันนี้น่าขับมากขึ้น
Nissan X-Trial เจเนอเรชั่นที่ 2
หลังจากที่ NISSAN มีการเปิดตัว Nissan X-TRAIL รถสไตล์ SUV ในตลาดโลกครั้งแรกเมื่อปี 2001 ในเดือนมีนาคม ปี 2007 ก็ได้มีการเปิดตัว Nissan X-TRAIL เจเนอเรชั่นที่ 2 ที่มีการปรับรูปทรงภายนอกเพียงเล็กน้อยจนแทบดูไม่ต่างจากเจเนอเรชั่นแรกเท่าไรนัก การดีไซน์ตัวถังเน้นความเหลี่ยมของรูปทรง ที่มีโป่งข้างดูแข็งแรงบึกบึน ไฟหน้าทรงเหลี่ยมขนาดใหญ่ ผสานไปกับกระจังหน้าในสไตล์เข้มๆ ตามสไตล์นิสสัน ภาพรวมจะออกมาในสไตล์เรียบๆ ลุยๆ มากกว่าการเน้นความหรูหรา ขนาดมิติความยาวของตัวถังอยู่ที่ 4,630 มม. ความกว้าง 1,785มม. และความสูง 1,685 มม. โดยระยะฐานล้อของ Nissan X-TRAIL จะอยู่ที่ 2,630 มม. ภายในตกแต่งในโทนสีเข้ม ด้วยเบาะสีดำ คอนโซลด้านหน้าออกแบบมาในสไตล์เรียบๆ แต่ดูดี การใช้งานระบบควบคุมจากตำแหน่งคนขับสามารถใช้งานได้ง่ายและสะดวกสบาย ไม่มีปุ่มมากมายให้ยุ่งยาก พื้นที่โดยสารถือว่ากว้างขวางพอสมควร ในส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระมีขนาดกว้าง และใหญ่ สามารถใส่ของหรือขนวัสดุที่มีขนาดใหญ่ได้อย่างสบายๆ นอกจากนี้ยังมีลิ้นชักไว้สำหรับเก็บของจุกจิกได้อย่างเป็นสัดเป็นส่วนอย่าง เรียบร้อยอีกด้วย มาพร้อกับเครื่องยนต์ 2 ลิตร ที่มาพร้อมกับเกียร์ CVT รหัส MR20DE เครื่องยนต์เบนซินแบบ 4 สูบ ขนาด 1,997 ซี.ซี. ที่มีความกว้างกระบอกสูบอยู่ที่ 84.0 มม. และช่วงชักอยู่ที่ 90.1 มม. ฝาสูบแบบดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ พร้อมวาล์ว 16 ตัว โดยเครื่องยนต์ตัวนี้สามารถสร้างกำลังได้สูงสุด 136 แรงม้า ที่ 5,200 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 20.0 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที ถ่ายทอดกำลังผ่านสู่ล้อคู่หน้าด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติแบบแปรผัน CVT พร้อม M-Mode ราคาเปิดตัว Nissan X-Trail ในไทยเมื่อปี 2009 อยู่ที่ 1.05 ล้านบาท และสำหรับราคาในตลาดมือสองปัจจุบันอยู่ที่ ประมาณ 399,000 บาท
Chevrolet Captiva รุ่นปี 2012
Chevrolet Captiva รุ่น Minor Change ที่เปิดตัวไปในปี 2011 เป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 ของ Chevrolet Captiva รถอเนกประสงค์ที่ได้รับการพัฒนามาเพื่อตอบสนองต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ของครอบครัวคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง พร้อมกับรองรับกิจกรรมแบบแอดเวนเจอร์ และอีกหลากหลายกิจกรรมทุกไลฟ์สไตล์ ในช่วงสุดสัปดาห์ ขณะเดียวกันยังให้ความหรูหรา สำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในทุกการเดินทางอีกด้วย แนวคิดหลักในการออกแบบภายนอก เน้นความโดดเด่นในแบบรถอเนกประสงค์อย่างเช่นเจเนอเรชั่นที่ 1 แต่เพิ่มความล้ำสมัย และความทรงพลังมากขึ้น ด้านหน้าโดดเด่นด้วยกระจังหน้าสองชั้น ดูอัลพอร์ท (dual port-grille) ขนาดใหญ่ พร้อมกรอบโครเมียมหรู สะท้อนเอกลักษณ์ใหม่ของ Chevrolet คาดกลางด้วยโลโก้โบว์ไทสีทอง ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น และใช้วัสดุพิเศษที่เพิ่มมิติบนพื้นผิวโลโก้ กรอบไฟหน้าดีไซน์ใหม่ เน้นความดุดันคู่กับไฟโปรเจคเตอร์ ฝากระโปรงและกันชนหน้าได้รับการออกแบบใหม่ ให้มีเส้นสายลื่นไหลในทุกมุมมอง โดดเด่นด้วยช่องรับอากาศ และไฟตัดหมอกรูปทรงใหม่ ที่ฝังตัวอยู่บริเวณด้านข้างของกันชนหน้า เติมความบึกบึนด้วยแผ่นกันกระแทกสีบรอนซ์ใต้กันชนหน้า ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่น ด้านท้ายรถติดตั้งสปอยเลอร์หลัง พร้อมไฟเบรกดวงที่สาม บริเวณกันชนได้รับการติดตั้งแผ่นกันกระแทก รับกับปลายท่อไอเสียคู่โครเมียมแบบสปอร์ต
แม้ว่าจะเป็นรถอเนกประสงค์ แต่ Chevrolet Captiva ได้รับการดีไซน์ให้มีภาพลักษณ์โฉบเฉี่ยว หลังคาถูกออกแบบให้โค้งมน มีกลิ่นอายสปอร์ตแบบรถคูเป้ ขณะเดียวกัน ยังเพิ่มรายละเอียดความหรูหราอย่างวัสดุโครเมียมบริเวณกระจกบังลมข้าง ก้านเปิดประตูสีเงิน กระจกข้างพร้อมไฟเลี้ยว และรางอเนกประสงค์บนหลังคา ห้องโดยสารของ แคปติวา ใหม่ ผสานความอเนกประสงค์ ความสะดวกสบาย และหรูหราในแบบรถซีดานพรีเมียม เน้นความลื่นไหลของคอนโซล ไปถึงแผงประตูข้างของห้องโดยสารตอนหน้า พร้อมกับใช้วัสดุสีโทนสว่างอย่างเมทัลลิก ทำให้ห้องโดยสารดูโปร่ง เบาะหุ้มหนังอย่างประณีต เบาะฝั่งผู้ขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมฟังก์ชั่นการออกแบบที่ครบครัน
มาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่ 4 รุ่นที่มาพร้อมเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ โดยเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลคอมมอนเรล 2.2 ลิตร ให้กำลัง 163 และ 184 แรงม้า และเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.4 ลิตร 171 แรงม้าและเครื่องยนต์เบนซิน V6 Direct Injection 3.0 ลิตร 258 แรงม้าที่มาพร้อมระบบ Variable Valve Timing (VVT) โดยทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลจะมีทั้งระบบขับเคลื่อน Front Wheel Drive และ All Wheel Drive นอกจากนั้น Chevrolet Captiva ยังได้รับการปรับปรุงระบบกันสะเทือนเพื่อความสุนทรีย์ในการขับและช่วยทำให้การเข้าโค้งดีขึ้น ในราคาเปิดตัวที่ 1,198,000 - 1,580,000 บาท และสำหรับราคารถมือสองในตลาดอยู่ที่ 399,000 – 499,000 บาทเท่านั้น
Suzuki SX4 Compact Crossover SUV รุ่นปี 2009
Suzuki SX4 เป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็ก (Compact Car) เริ่มผลิตเมื่อปี 2006 และมีจำหน่ายอยู่ทั่วโลก โดยเป็นรถยนต์ที่ Fiat และ Suzuki ร่วมกันผลิต สำหรับที่มาของชื่อ SX4 มาจาก "Sports X-over for 4 seasons" ซึ่งเป็นการผสานความเป็นรถ SUV ผนวกกับรถยนต์ขนาดเล็ก หรือ Compact Crossover SUV รถยนต์ขนาดเล็กสมรรถนะ สำหรับตัวถัง มีตัวถัง 2 แบบ โดยส่วนใหญ่จะเป็นรุ่นแฮทช์แบค 5 ประตู แต่ในบางประเทศ จะมีตัวถังซีดาน 4 ประตู ซึ่งเป็นการร่วมมือกับบริษัท Maruti Suzuki ในอินเดียเพื่อผลิตรุ่นซีดานออกมา มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ,1.6 และ 2.0 ลิตร และมีเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 1.3 ,1.6 ,1.9 และ 2.0 ลิตร และระบบเกียร์เป็นเกียร์ธรรมดา 5 และ 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด แต่ในปี 2010 ได้มีการเปิดตัวรุ่นเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ด้วย
Suzuki SX4 ถือได้ว่าทางเลือกใหม่ของคนเมืองที่รักการเดินทางไกลในช่วงปี 2006 สำหรับผู้ที่มองหารถยนต์คันใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ตอบสนองความต้องการอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตในเมืองหลวงอันวุ่นวาย หรืออยากจะขับรถออกเมืองหาความสงบตามธรรมชาติ ภายใต้รถคันเดียว
รูปลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นของ Suzuki SX4 อยู่ที่ไฟหน้าแบบ HID (High Intensity Discharge) แบบใหม่ โดดเด่นสะดุดตา พร้อมไฟตัดหมอกที่กันชนหน้า ภายในรถมีโครงสร้างเบาะที่ได้สัดส่วน แต่ว่าโครงสร้างของรถค่อนข้างสั้น ทำให้รู้สึกค่อนข้างแคบไปสักหน่อย ซึ่งคนที่มีรูปร่างใหญ่อาจจะพบปัญหานี้ได้ สามารถพับเบาะหลังในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มความจุในการบรรทุกสัมภาระได้ ติดตั้งระบบเครื่องเสียง 9 ลำโพง พร้อมปรับระดับความดังอัตโนมัติ (AVC หรือ Auto Volume Control) มีที่วางแก้วน้ำ 7 จุด พวงมาลัยแบบ 3 ก้าน ทำจากยูริเทน สไตล์สปอร์ต ขณะที่หน้าปัดได้รับการออกแบบให้มีขนาดใหญ่ และโดดเด่น Suzuki SX4 ตั้งราคาขายไว้ที่ 799,000 บาท และราคามือสองในปัจจุบันอยู่ที่ 295,000 – 350,000 บาท
Toyota Fortuner รุ่นปี 2005 เป็นเจเนอเรชั่นแรกของตระกูล Fortuner
จากการรีวิว Toyota Fortuner รถยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูงขนาดกลาง (Mid-size SUV) ของ Toyota โดยเริ่มผลิตครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2004 โดยใช้โครงสร้างเดียวกันกับ Toyota Hilux Vigo หรือ Toyota Hilux Vigo Champ และ Toyota Innova ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2004 Toyota Fortuner ได้เปิดตัวพร้อมกับ Toyota Innova ภายใต้โครงการ “IMV: Innovative International Multi-Purpose Vehicle” สำหรับ Toyota Fortuner เจเนอชั่นแรกที่มีการผลิตในไทยมีการปรับโฉม 2 ครั้งด้วยกัน โดยมีการปรับโฉมครั้งแรกในปี 2008 มีการปรับโฉมบางส่วน (ไมเนอร์เชนจ์) ได้แก่ ปรับปรุงภายนอกใหม่ โดยได้เปลี่ยนกระจังหน้าใหม่ พร้อมกับไฟหน้าใหม่เป็นแบบโปรเจกต์เตอร์ การออกแบบไฟท้ายใหม่ ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 17 นิ้ว มีระบบ VSC และ TRC เปลี่ยนจานเบรกให้ใหญ่ขึ้น เพิ่มระบบเสริมแรงเบรก BA, มีเครื่องเล่นดีวีดีพร้อมเนวิเกเตอร์ให้เลือก และเพิ่มรุ่นดีเซลขับเคลื่อน 2 ล้อ และการปรับโฉมครั้งที่ 2 ในปี 2011 ที่มีการปรับโฉมครั้งใหญ่ (บิ๊ก ไมเนอร์เชนจ์) โดยภายนอกมีการเปลี่ยนไฟหน้าเป็นซีนอน-โปรเจกต์เตอร์พร้อมที่ฉีดไฟหน้า มีการออกแบบกระจังหน้า และไฟท้ายใหม่ซึ่งคล้ายโดนัท กันชนหน้าใหม่ มีไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง กันชนท้ายใหม่ โดยมีคิ้วสแตนเลสเขียนว่า FORTUNER เหนือกรอบทะเบียน ทับทิมที่กันชนทรงใหม่ ย้ายตัวอักษรบอกรุ่นเครื่องยนต์ไว้ด้านท้าย และในปีถัดมาได้เปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติลูกใหม่เฉพาะรุ่นดีเซลเปลี่ยนจากเดิม 4 สปีดเป็น 5 สปีด เพิ่มรุ่นย่อย 2.5G เกียร์อัตโนมัติ และปรับกำลังรุ่น 3000cc เป็น 171 แรงม้า หน้าตาภายนอกเหมือนเดิม ส่วนภายในเพิ่มระบบนำทาง Eco Navi พร้อมประมวลผลพฤติกรรมการขับขี่แบบ Real Time ความบันเทิงระดับเครื่องเล่น DVD และจอแสดงผล LCD แบบสัมผัส ขนาด 6.1 นิ้ว
Toyota Fortuner SUV/PPV ที่ใช้โครงสร้างเดียวกันกับ Toyota Hilux Vigo และ Toyota Innova
สำหรับ Toyota Fortuner รุ่นปี 2005 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 3.0 litre ขับเคลื่อนสี่ล้อ แบบ Full Time 4 Wheels Drive เครื่องยนต์ IKD-FTV ดีเซล 4 สูบวางเรียง DOHC 16 Valve ขนาด 2982 ซีซี พร้อม Turbocharger with Intercooler แรงม้าสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3400 รอบต่อนาที(เครื่องเบนซิน 160แรงม้า ที่ 5200 รอบต่อนาที) แรงบิดสูงสุด 345 newton-เมตร/รอบต่อนาที (เครื่องเบนซิน 241นิวตัน-เมตร/รอบต่อนาที) ขนาดตัวรถ 4.70 X 1.85 X 1.8 เมตร (ไม่รวมความสูงของราวหลังคา อีกประมาณ 10 ซม.) เกียร์ อัตโนมัติเดินหน้า 4 จังหวะ พร้อมคันเกียร์ควบคุมการขับเคลื่อนสี่ล้อ (เกียร์ Slow) ระบบเบรค Disc Brake หน้าพร้อม ช่องครีบระบายความร้อน หลัง ดรัมเบรก ในส่วนของดีไซน์ภายนอก Toyota Fortuner ก็ยังคงลักษณะภายนอกอย่างใกล้เคียงกันในทุกรุ่น เพียงแต่รุ่นแรกอาจจะดูไม่หรูหราเท่ารุ่นปัจจุบันเท่านั้น ในส่วนของราคามือสองในปัจจุบันอยู่ที่ 499,000 บาท และสำหรับรุ่น TOP อาจจะเกิน 5 แสนไปบ้างนิดหน่อย แต่นั่นก็พิสูจน์ให้เห็นว่าแม้เวลาจะผ่านมาเกือบ 15 ปีนับตั้งแต่วันเปิดตัว Toyota Fortuner ก็ยังคงราคาไว้ได้อย่างดียิ่ง โดยที่ราคาถือว่าตกลงน้อยมากเมื่อเทียบกับรถรุ่นอื่นๆ ซึ่ง Toyota Fortuner รุ่นปัจจุบันก็ถือได้ว่าราคาแทบไม่ตกจากตลาดเลย
Ford Everest รุ่นปี 2003-2007
Ford Explorer ต้นแบบของ Ford Everest
Ford Everest รุ่นแรกได้รับการพัฒนาขึ้นภายใต้รหัสโครงการ U268 จากพื้นฐานของรถกระบะ Ford Ranger และ Masda Fighter รุ่นเดิม ปี 1997-2006 Ford เปิดตัว Ford Everest เป็นครั้งแรกในโลกที่เมืองไทย ในปี 2003 ในช่วงเดียวกับวาระฉลองครบรอบ 100 ปีของฟอร์ดทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตหลักอยู่ที่โรงงาน ออโตอัลลายแอนซ์ (AAT) ระยอง เพื่อส่งขึ้นโชว์รูมในเมืองไทย และลงเรือไปทำตลาดในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ตอนนั้นมีเครื่องยนต์ให้เลือกเฉพาะรหัส WL-T 4 สูบ 2,500 ซีซี เทอร์โบ จาก Ford Ranger รุ่นเดิม จากนั้น ก็ทำยอดขายมาได้เรื่อยๆเปื่อยๆ ไม่ได้หวือหวาเหมือนอย่างที่ฟอร์ดตั้งใจไว้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ที่มาในสไตล์เรียบๆ เชยๆ คล้ายๆกับ การนำบั้นท้ายครึ่งคันหลังของ Ford Explorer รุ่นแรก มาดัดแปลงเข้ากับโครงสร้างครึ่งคันหน้าของ Ford Ranger รุ่นเดิม แม้จะได้เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ จาก Prodrive มาช่วยให้การกระจายแรงบิดสู่ล้อขับเคลื่อนเป็นไปด้วยดียิ่งขึ้น
Ford Everest รุ่นปรับโฉมใหม่ปี 2009
ในปี 2006 ได้มีการปรับรูปลักษณ์ภายนอกของ Ford Everest ที่สร้างขึ้นภายใต้โครงสร้างแชสซีเดิม แม้จะดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างเด่นชัด แต่ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายดั้งเดิมไว้ และเกลาด้วยชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้า และชุดไฟหน้าจาก Ford Ranger ใหม่ ปรับเปลี่ยนลวดลายของกระจังหน้า กันชนหน้า พร้อมชุดไฟตัดหมอกหน้าแบบใหม่ ผสานกับแนวเส้นตัวถังที่ยังคงเน้นความเหลี่ยมสันเป็นหลักเหมือนเดิม หากแต่ปรับปรุงให้มีกลิ่นอายจาก Ford Explorer รุ่นที่ 3 แต่ดูร่วมสมัยอย่างลงตัวมากยิ่งขึ้น ช่วงท้ายยังคงถอดแบบออกมาจากรุ่นเก่า ความต่อเนื่องของเส้นสายจากหน้า จรดหลัง จุดขายหลักของ Ford Everest อยู่ที่การพับเบาะหลังเข้าออกได้ แบบ SYNCRONIZED คือ ดึงคันโยก จนสุด เพียงครั้งเดียว ชุดพนักพิงหลังจะพับลงมา พร้อมกับชุดเบาะจะยกคว่ำไปข้างหน้า เพื่อความสะดวกในการเข้าออก ราคาในช่วงเปิดตัวอยู่ที่ 999,000 – 1,119,000 บาท และราคามือสองในปัจจุบันอยู่ที่ 369,000 – 392,000 บาท (ในรุ่นปี 2007) และ 195,000-295,000 บาท (สำหรับรุ่นปี 2004-2006)
Isuzu MU-7 รุ่นปี 2005
Isuzu MU-7 คือรถ SUV/PPV รุ่นแรกในประเทศไทยี่มีการผลิตเอง โดย Generation1ใช้ชื่อว่า Cameo และ Vega(ในเวลาต่อมา) ซึ่งใช้พื้นฐานมาจาก TFR เปิดตัวที่ญี่ปุ่นตั้งแต่ปี1989 ตัวถังเป็นแบบ 3 ประตูในตอนแรก และใช้ชื่อว่า Isuzu MU และยังมีแบบ2ประตูแล้วมีกระบะท้ายขายในอเมริกาชื่อ Isuzu Amigo และรุ่น 5 ประตูใช้ชื่อว่า Isuzu Wizard ขายในอเมริกาในชื่อ Isuzu Rodeo ต่อมา Isuzu ประเทศไทยเห็นว่าไทยรุ่งเอารถกระบะของตัวเองมาดัดแปลงขายได้ Isuzu จึงเริ่มเอาเข้ามาขายในเดือนมิถุนายนปี1993 กระจังหน้าของรุ่นที่ขายในไทยจะเหมือนกับเวอร์ชันอเมริกา และไม่มียางอะไหล่ห้อยท้าย มีพลาสติกยูรีเทนอยู่ที่ขอบประตูล้อแมกซ์15นิ้ว ตัวรถไม่ได้ยกสูง ลักษณะรถในทีแรกจึงดูเหมือน Wagon มากกว่า SUV ใน1998ประเทศไทยก็ออกรุ่นใหม่เปลี่ยนชื่อเป็น Isuzu Vega โดยตัวรถเป็นยกสูงขับเคลื่อน4ล้อแล้วเปลี่ยนเครื่องจาก 2500 di เป็น 2800 diturbo 95แรงม้า โดยที่กันชนจะมีการ์ดที่กันชนหน้า และด้านท้ายมียางอะไหล่ห้อยท้ายมีไฟเบรกดวงที่ 3 บนหลังคาเปลี่ยนกระจกมองข้างแบบใหม่ สำหรับชื่อ Isuzu Mu-7 ได้นำมาใช้ใน Generation2 เปิดตัวครั้งแรกปลายปี 2004 โดยมีทั้งขับเคลื่อน2ล้อและ4ล้อในรุ่นนี้มี7ที่นั่งแล้วและฝากระโปงท้ายไม่มียางอะไหล่ห้อยท้ายโดยใช้เครื่อง3000cc turbo intercooler common rail 146 แรงม้า ในตุลาคมปี 2005 ก็ได้ไมเนอร์เชนจ์เล็กๆ โดยเปลี่ยนกระจังหน้าเป็นแบบมีลายกราฟิกแต่ทรงเดิม ในเดือนสิงหาคมปี 2006 ก็ได้ทำการ Big Minor change โดยเปลี่ยนไฟหน้าทรงใหม่จากเดิมเป็นซีนอนเป็นโปรเจคเตอร์เปลี่ยนกระจังหน้าใหม่กันชนทรงใหม่มีสเกิร์ตด้านหลัง ภายในเปลี่ยนหน้ากากแอร์เป็นทรงกลมมีหน้าปัดเรืองแสงเปลี่ยนสีเบาะเป็นสีเบจวิทยุซีดีเล่นmp3ได้แล้วพวงมาลัย4ก้านทรงใหม่ โดยเพิ่มเครื่องยนต์ใหม่3000 ddi vgs turbo intercooler vgs turbo 163แรงม้า เรียกได้ว่านับตั้งแต่รุ่น Big Minor Change เป็นต้นมา Isuzu MU-7 ก็ได้ยึดโครงสร้าง และหน้าตาในลักษณะเดียวกันเรื่อยมา โดยเพิ่มความโฉบเฉี่ยว ดุดัน ให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น สำหรับราคามือสองในปัจจุบันอยู่ที่ 399,000 – 485,000 บาท (ในรุ่นปี 2007-2008) และประมาณ 275,000 บาท (ในรุ่นปี 2005)
ด้วยความหลากหลายของฟังก์ชั่นการใช้งาน ทำให้ SUV ถือเป็นรถแห่งยุคสมัยได้เลยทีเดียว
ดูเพิ่มเติม
>> รีวิว NEW ISUZU MU-X 2018
>> รีวิว Ford Everest Minorchange 2018
เป็นอย่างไรบ้างคะกับทั้ง 7 รุ่นรถ SUV ราคาไม่เกิน 5 แสนบาทที่ Chobrod แนะนำกันในวันนี้ ถือได้ว่าราคาไม่แพง แถมได้รถคุณภาพเยี่ยม ดีไซน์คลาสสิกมาใช้ตอบโจทย์การดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างสมบูรณ์เลยทีเดียว แล้วถ้าได้รถสภาพเนี๊ยบก็ถือได้ว่าโชคเข้าข้างอย่างมากเลยทีเดียวค่ะ สำหรับบทความเรื่องรถมือสองสามารถติดตามได้ที่ Chobrod.com นะคะ
ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสองสภาพดีและน่าเชื่อถือ เชิญที่นี