ส่องรถยนต์ MG ที่มอบความคุ้มค่าให้กับผู้ใช้ ทั้งออปชันที่หลากหลาย ระบบความปลอดภัยที่จัดเต็ม รวมถึงสมรรถนะที่น่าเชื่อถือ รถรุ่นไหนตอบโจทย์คุณได้ดีสุด มาดูกัน !
สำหรับใครที่กำลังสนใจ รถ mg มาทางนี้เลย ! ขอแนะนำรถยนต์ MG (เอ็มจี) แบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนที่เข้ามาทำการตลาดในไทย โดยมุ่งขายรถยนต์ไฟฟ้าเป็นหลัก นอกจากจะมีราคาที่จัดว่าเป็นมิตรสุด ๆ แล้ว ยังมีความคุ้มค่า ทั้งในด้านออปชันอำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยที่ติดตั้งให้แบบจัดเต็ม รวมถึงเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่จะมอบความสบายให้ผู้ใช้ระหว่างการเดินทาง ถ้าอยากรู้ว่าซื้อรุ่นไหนจะคุ้มค่าที่สุด ดูคำแนะนำได้ที่นี่เลย !
มาเริ่มกันด้วยรถที่ไม่ต้องใช้น้ำมันเป็นตัวขับเคลื่อน อย่าง MG 4 Electric (เอ็มจี 4 อิเล็กทริก) รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง มาพร้อมโครงสร้างตัวถังแบบ Nebula Pure Electric Platform นวัตกรรมที่พัฒนาให้แบตเตอรี่ติดตั้งเป็นชิ้นเดียวกับโครงสร้างตัวรถ โดยจะมีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ประกอบด้วย
ดีไซน์ภายนอก
สะกดทุกสายตาด้วยงานดีไซน์แบบ Racing Spirit Identity แสดงอัตลักษณ์อันงดงาม ถ่ายทอดความสปอร์ตผ่านไฟหน้า LED Galaxy Technology Matrix พร้อมไฟส่องสว่างกลางวัน Daytime Running Lights, ไฟท้าย LED ลาย Cygnus Symbol Decorative Light, หลังคาแบบ 2-Tone, สปอยเลอร์หลัง Twin Arrow Wing และล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว พร้อม Aero Wheel Cover ที่ช่วยเพิ่ม Aerodynamic ได้เป็นอย่างดี
ดีไซน์ภายใน
ห้องโดยสารภายในได้รับการออกแบบ Minimal Sportiness เน้นอารมณ์เรียบง่าย แต่ให้ความสปอร์ต คอนโซลกลางดีไซน์แบบ Floated Central Control Platform นั่งสบายด้วยเบาะนั่งหุ้มหนังสังเคราะห์และผ้า ที่ติดตั้งมากับออปชันอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว, ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ, ระบบกรองอากาศ PM 2.5, ระบบ Intelligent Smart Access, ระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย, หน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว, ระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Andriod
ขณะเดียวกัน ก็ยังมีระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ติดตั้งมาด้วย อาทิ ระบบตรวจสอบแบตเตอรี่ Battery Doctor, ระบบตรวจสอบสถานะรถยนต์, ระบบสั่งการและระบบค้นหารถ Find My Car, ระบบเตือนความผิดปกติของรถยนต์, ระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์, ระบบช่วยค้นหาศูนย์บริการ นัดหมายและบันทึกการดูแลรักษารถยนต์ตามระยะ และระบบตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่ การชาร์จ และสถานีชาร์จ
ระบบความปลอดภัย
ในส่วนระบบความปลอดภัย ก็ได้มอบให้อย่างครบครันเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH, ระบบควบคุมการทรงตัว SCS, ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC, ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS, ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ DMS, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน และช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ELK, ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW ฯลฯ
สมรรถนะ
ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor กำลังสูงสุด 170 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร พ่วงแบตเตอรี่ ความจุ 51 กิโลวัตต์ – ชั่วโมง มีระยะทางวิ่งสูงสุด (NEDC Mode) 425 กิโลเมตร
สีตัวถังรถยนต์ MG 4 Electric 2023 แต่ละรุ่นย่อยจะมีสีตัวถังให้เลือกแตกต่างกัน ดังนี้
รุ่น D
รุ่น X
ยังอยู่กันกับรถยนต์ไฟฟ้า 100% ขอแนะนำ MG EP Plus (เอ็มจี อีพี พลัส) ตัวถังแวกอน ขนาด 5 ประตู 5 ที่นั่ง มอบความอเนกประสงค์ และมีพื้นที่ด้านท้ายยาว สามารถบรรจุของได้มากกว่ารถแฮตช์แบ็กทั่วไป เหมาะสำหรับครอบครัว โดยจะมีให้เลือกเพียง 1 รุ่นเท่านั้น คือ
ดีไซน์ภายนอก
ตัวบอดี้ภายนอกมีความเรียบง่าย เน้นการใช้งาน ได้รับการติดตั้งกระจังหน้าแบบปิดทึบขนาดใหญ่, ไฟหน้าโปรเจคเตอร์, ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน, ระบบควบคุมการ เปิด – ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ, ไฟท้ายแบบ LED, สปอยเลอร์หลัง, แผ่นปิดห้องเครื่องด้านหน้า และที่ปิดห้องเก็บสัมภาระท้ายรถ และล้ออัลลอย ขนาด 16 นิ้ว
ดีไซน์ภายใน
ห้องโดยสารภายในโทนดำ ตกแต่งด้วยวัสดุ Soft Touch ได้รับการจัดวางให้สบายตาและสามารถใช้งานได้อย่างสะดวก มาพร้อมเบาะนั่งหุ้มหนังสังเคราะห์, หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว, ระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5, หน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว, ระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และอื่น ๆ อีกหลายรายการ
ระบบความปลอดภัย
สำหรับระบบความปลอดภัย ใช้ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH, ระบบป้องกันล้อล็อก ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD, ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA, ระบบควบคุมการทรงตัว SCS, ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC, ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS, กล้องมองหลัง ฯลฯ เสริมความมั่นใจให้ผู้ใช้ในระหว่างการเดินทาง
สมรรถนะ
ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ส่งกำลังสูงสุด 163 แรงม้า โดยมีแรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-Ion ความจุ 50.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง วิ่งได้ระยะทางสูงสุด 380 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (NEDC Mode)
สีตัวถังรถยนต์ MG EP Plus 2023
ตามมาด้วย MG ZS EV (เอ็มจี แซดเอส อีวี) ยนตรกรรม SUV อเนกประสงค์ พลังงานไฟฟ้า รองรับผู้โดยสารได้ 5 ที่นั่ง ครบครันด้วยออปชันอำนวยความสะดวก และเทคโนโลยีทันสมัยต่าง ๆ ที่มอบให้หลายรายการ พร้อมขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งวิ่งได้ในระยะทางสูงสุด 403 กิโลเมตร (ต่อการชาร์จเพียงหนึ่งครั้ง) โดยจะมีให้เลือกทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ประกอบด้วย
ดีไซน์ภายนอก
ภายนอกได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด Brit Dynamic มากับกระจังหน้าและกันชนหน้า Graille - Less, ไฟหน้า LED, ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน, ไฟท้ายแบบ LED, ระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ, สปอยเลอร์หลัง, หลังคาซันรูฟราโนรามา และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ต ขนาด 17 นิ้ว
ดีไซน์ภายใน
ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุ Soft Touch เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ เบาะนั่งคนขับปรับได้ 6 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับได้ 4 ทิศทาง ส่วนเบาะนั่งด้านหลังปรับและพับได้ 60:40 ขณะเดียวกันก็ได้มอบออปชันต่าง ๆ มาให้อย่างครบครัน เช่น หน้าจอแสดงผลดิจิตอล ขนาด 7 นิ้ว, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ, ระบบกรองอากาศ PM2.5, ที่ชาร์จไร้สาย, หน้าจอสีระบบสัมผัส ขนาด 10 นิ้ว รองรับ Apple Carplay และ Andriod Auto เป็นต้น
MG ZS EV ยังมาพร้อมระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART เช่น ระบบตรวจสอบแบตเตอรี่ Battery Doctor, ระบบตรวจสอบสถานะรถยนต์, ระบบสั่งการและระบบค้นหารถ Find My Car, ระบบเตือนความผิดปกติของรถยนต์, ระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ
ระบบความปลอดภัย
อุ่นใจด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ติดตั้งมาให้แบบจัดเต็ม อาทิ ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW, ระบบช่วยเตือนมุมอับสาย BSD, ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA, ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA, ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW และอื่น ๆ อีกหลายรายการ
สมรรถนะ
ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ส่งกำลังสูงสุด 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-Ion ความจุ 50.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ระยะทางที่สามารถวิ่งสูงสุด 403 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC Mode)
สีตัวถังรถยนต์ MG ZS EV 2023
รถไฟฟ้าตัวถังแวกอน MG ES (เอ็มจี อีเอส) มอบความสะดวกสบายในการใช้งานด้วยห้องโดยสารที่มีความจุสูงสุดถึง 1,367 ลิตร มากับเบาะหลังเลือกปรับพับซ้าย – ขวาได้ตามใจแบบ 60:40 ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในทุกครอบครัว โดยจะมีให้เลือกทั้งหมด 1 รุ่นย่อย คือ
ดีไซน์ภายนอก
ดีไซน์ภายนอกมีความเรียบหรู ไม่หวือหวา มีการใช้ไฟหน้าแบบ LED Projector ที่ติดตั้งมาพร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน, ไฟท้ายแบบ LED, ระบบควบคุมการ เปิด – ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ, ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED, สปอยเลอร์หลัง, ฝาปิดห้องเครื่องด้านหน้า และที่ปิดห้องเก็บสัมภาระท้าย และล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว
ดีไซน์ภายใน
ห้องโดยสารภายในโทนดำ ตกแต่งด้วยวัสดุ Soft touch มากับเบาะนั่งหุ้มหนังสังเคราะห์และตกแต่งคล้ายผ้า, หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว, กระจกมองหลังตัดแสง, ระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล พร้อมระบบกรองอากาศ PM 2.5, ระบบกุญแจอัจฉริยะ พร้อมปุ่ม Push Start, หน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว, ระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Andriod
รวมถึงระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART อาทิ ระบบตรวจสอบสถานะรถยนต์, ระบบสั่งการ และระบบค้นหารถ Find My Car, ระบบเตือนความผิดปกติของรถยนต์, ระบบช่วยค้นหาศูนย์บริการ นัดหมาย และบันทึกการดูแลรักษารถยนต์ตามระยะ, ระบบตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่ การชาร์จ และสถานีชาร์จ
ระบบความปลอดภัย
ระบบความปลอดภัย ได้รับการติดตั้งระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF, ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH, ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน ELK, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC ฯลฯ
สมรรถนะ
ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor กำลังสูงสุด 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน – เมตร พ่วงแบตเตอรี่ Lithium Iron ความจุ 51 กิโลวัตต์ – ชั่วโมง ระยะทางวิ่งสูงสุด (NEDC Mode) 412 กิโลเมตร
สีตัวถังรถยนต์ MG ES 2023
ปิดท้ายด้วย MG VS HEV (เอ็มจี วีเอา เอชอีวี) รถยนต์อเนกประสงค์ 5 ประตู 5 ที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังไฮบริด ให้ความประหยัดน้ำมัน มากับห้องโดยสารภายในที่กว้างขวาง สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้หลากหลาย ขยายพื้นที่ใช้สอยได้ด้วยเบาะนั่งด้านหลังที่สามารถปรับพับได้แบบ 60:40 ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ทุกครอบครัว โดยจะแบ่งเป็น 2 รุ่นย่อย ได้แก่
ดีไซน์ภายนอก
ภายนอกโดดเด่นด้วยดีไซน์ทันสมัยสไตล์อังกฤษ มาพร้อมไฟหน้าแบบ LED Projector, ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน, ระบบควบคุมการ เปิด – ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ, ไฟท้ายแบบ LED, ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED, สปอยเลอร์หลัง, ที่เปิดฝากระโปรงท้ายสไตล์สปอร์ต, หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา และล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว
ดีไซน์ภายใน
ภายในเป็นแบบทูโทน ขาวดำ ตกแต่งด้วยวัสดุ Soft Touch ติดตั้งมากับเบาะหนังสังเคราะห์, Dual Widescreen Cockpit, Full Virtual Dashboard ขนาด 12.3 นิ้ว, ระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล, อุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ, หน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว, ระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย
โดยมีระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ติดตั้งมาด้วย ไม่ว่าจะเป็น ระบบตรวจสอบสถานะรถยนต์, ระบบเตือนความผิดปกติของรถยนต์, ระบบการควบคุมการทำงานของระบบปรับอากาศผ่านทางสมาร์ทโฟน, ระบบวางแผนการเดินทาง Travel Plan, ระบบนำทาง Navigation พร้อมรายงานการจราจรแบบ Real Time ฯลฯ ที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในระหว่างการใช้งานให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
ระบบความปลอดภัย
ด้านระบบความปลอดภัย ใช้ระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF, ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH, ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC, ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS, ระบบควบคุมความเร็วรถขณะลงทางลาดชัน HDC, ระบบจำกัดความเร็ว ASL และอีกหลายรายการ
สมรรถนะ
ขุมพลังไฮบริด ที่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์ ขนาด 1.5 ลิตร 1,498 ซีซี. DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว VTi-TECH กำลังสูงสุด 109 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที และมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 95 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 200 นิวตันเมตร โดยจะให้พละกำลังรวมทั้งระบบ 177 แรงม้า พ่วงแบตเตอรี่ Lithium-ion จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ E-CVT
สีตัวถังรถยนต์ MG VS HEV
หากสนใจ MG มือสอง สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ Chobrod.com
แหล่งซื้อขาย รถยนต์มือสอง มีรถมากมายให้เลือกในราคาที่ถูกใจ