หลังจากการเผยโฉมครั้งแรกของม้าลำพองตัวแรงอย่าง Ferrari 812 Superfast ไปแล้วเมื่องาน Geneva Motor Show เมื่อ 3 เดือนที่ผ่านมา ล่าสุดได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วสำหรับ Ferrari 812 Superfast ใหม่ และเตรียมจำหน่ายแล้วที่ออสตรเลีย ด้วยเครื่องยนต์ V12 N/A บล็อคใหม่ อันเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์อันทรงพลังอีกรุ่นที่ได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี 1947 เทียบกับ F12berlinetta รุ่นปัจจุบัน 812 Superfast มีการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์ใหม่ทั้งหมด เพื่อให้รับกับกำลังที่เพิ่มขึ้น
Ferrari 812 Superfast ใหม่ ได้เปิดตัวที่งาน Geneva Motor Show
วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี รองประธานบริษัท กรรมการบริหาร บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัด ตัวแทนจำหน่ายและซ่อมบำรุงรถยนต์ Ferrari อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจในระยะ 3-5 ปีนับจากนี้ ต้องการผลักดันยอดขายให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่ม GT-Car (Gran Turismo) ที่จะให้ความสำคัญกับการทำตลาดมากสุด เนื่องจากเป็นรถสปอร์ตสำหรับไลฟ์สไตล์ของการใช้อย่างสะดวกสบายทุกวัน ทั้งยังทำให้ผู้ขับขี่สัมผัสถึงความเร้าใจผสมกลิ่นอายของ Ferrari อย่างเต็มเปี่ยมอีกด้วย
Ferrari 812 Superfast ใหม่ มาพร้อมด้วยมิติตัวถังด้วยความยาว 4,657 มม. ความกว้าง 1,971 มม. ความสูง 1,276 มม. ฐานล้อที่ยาว 2,720 มม. ความกว้างแทรคล้อหน้า 1,672 มม. และด้านหลัง 1,645 มม. โดยได้ทำการแบ่งสัดส่วนน้ำหนักของตัวรถสมดุลย์ด้วยอัตราส่วน 47% – 53% มาพร้อมไฮไลท์ตัวถังสีแดงที่เรียกว่า Rosso Settanta สำหรับการฉลองครบรอบ 70 ปีของเฟอร์รารี่
มุมมองด้านหน้าของ Ferrari 812 Superfast ใหม่
รูปลักษณ์ของ Ferrari 812 Superfast ได้รับการออกแบบปรับแต่งภายนอกให้มีความหรูหรา สง่างาม และมีความพรีเนียมมากขึ้น ประกอบด้วย เส้นสายและรูปทรงที่เน้นความสปอร์ตรอบคัน ไฟหน้าแบบ LED ถูกฝังเข้าไปในดีไซน์ของช่องดักลมบนฝากระโปรงหน้า ด้านหน้ารถแบบ multi-function ที่มีการใช้อุปกรณ์ aerodynamics เช่นช่องลมแบบ active ที่ด้านใต้หน้ารถ และที่ด้านท้าย เพื่อเพิ่มแรงกด (downforce) ส่วนด้านท้ายของรถสวยงามลงตัวยิ่งกว่าเดิมด้วยการแทนที่ไฟกลมโคมเดี่ยวด้วยโคมกลมคู่ทั้ง 2 ฝั่ง ติดตั้งไฟท้ายทรงกลม 4 ดวงที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมของเฟอร์รารี่เอง ช่วยทำให้ 812 ซุปเปอร์ฟาสต์นั้นมีท่าทีที่ดุดันทันสมัย
มุมมองด้านข้างของ Ferrari 812 Superfast ใหม่
มุมมองด้านหลังของ Ferrari 812 Superfast ใหม่
สำหรับห้องโดยสาร Ferrari 812 superfast ใหม่ ได้รับการออกแบบตกแต่งให้มีความหรูหราสวยงามเช่นเดียวกับภายนอก ไม่ว่าจะเป็น ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า ซึ่งเป็นรุ่นแรกของเฟอร์รารี่ที่ใช้ รวมไปถึง ปุ่มควบคุมต่าง ๆ เบาะนั่งมีความสปอร์ทและเข้ากับสรีระมากขึ้น มาพร้อมกับ ระบบ HMI ใหม่ ติดตั้งระบบ infotainment และ ระบบปรับอากาศใหม่ รวมถึงติดตั้งระบบเลี้ยวล้อหลัง Virtual Short Wheelbase เวอร์ชั่นที่ 2 อีกด้วย
ห้องโดยสาร Ferrari 812 Superfast ใหม่ มาพร้อมเบาะนั่งมีความสปอร์ท
ห้องโดยสาร Ferrari 812 Superfast ใหม่ เติมเต็มอุปกรณ์ต่างๆ
ระบบพวงมาลัยไฟฟ้า รวมไปถึง ปุ่มควบคุมต่าง ๆ
Ferrari 812 Superfast คันนี้ มาพร้อมเครื่องยนต์ V12 N/A บล็อคใหม่ ความจุกระบอกสูบ 6.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 788 แรงม้า ที่ 8,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 718 นิวตันเมตร ที่ 7,000 รอบ/นาที โดย 80% ของแรงบิดจะมีให้ใช้ตั้งแต่ 3,500 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ 7 สปีด F1 DCT กับ E-Diff3 and 4WS ทำอัตราเร่ง 0-100 ได้ใน 2.9 วินาที 0-200 ได้ใน 7.9 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 340 กิโลเมตร/ชั่วโมง เบรกจากความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 32 เมตร และเฟอร์รารี่เคลมไว้ว่า มีอัตราสิ้นเปลืองที่ประมาณ 6.7 กิโลเมตร/ลิตร
ขุมพลีงของ Ferrari 812 Superfast ใหม่
Ferrari 812 Superfast ใหม่ สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 340 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 2.9 วินาที เทียบกับ F12berlinetta รุ่นพื้นฐานทำเวลาได้ดีขึ้น 0.2 วินาที ในขณะที่ตัวเลขท๊อปสปีดยังคงเดิม
ทั้งนี้ Ferrari 812 Superfast ใหม่ จะเตรียมจำหน่ายแล้วที่ออสตรเลียได้ประมาณช่วงต้นปีหน้า ราคาอยู่ที่ประมาณ 610,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 15.8 ล้านบาท
ตั้งแต่ปี 1929 ที่ Enzo Ferrari ก่อตั้ง “Scuderia Ferrari” ทีมแข่งรถที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงด้วยรถ Alfa Romeo จนในที่สุดปี 1930 ได้แยกทางกับทาง Alfa และมาเริ่มต้นสร้างรถแข่งของตัวเองในชื่อ “Scuderia” แต่อย่างไรก็ตามหลังสงครามโลกครั้งที่สอง Ferrari ต้องการเงินเพื่อนำมาเป็นส่วนในการสนับสนุนทีมแข่ง จึงได้เริ่มต้นผลิตรถเพื่อจำหน่ายวิ่งบนถนนทั่วไปในปี 1940
เกือบ 80 ปีที่ผ่านมากับคุณภาพและความหลงใหลที่ Ferrari มอบให้กับคนทั่วโลกและนี่คือ 10 รุ่นม้าลำพอง Sport Car ที่ดีที่สุดจาก Ferrari
ปีที่ผลิต: 1960-1961
เครื่องยนต์ 3.0L, V12, 276 แรงม้า
ระบบเกียร์: ธรรมดา 5 Speed, ขับเคลื่อนล้อหลัง
Top speed: 140mph
Ferrari 250 GT California Spyder SWB
หน้าตารูปลักษณ์ที่สวยงามอย่างกับออกมาจากหนัง Hollywood ที่พระเอกชอบใช้ขับ แต่ก็ยังแฝงไปด้วยเทคโนโลยีแบบรถแข่งมาเต็มๆ อยากได้ลุคไหนก็ลงตัวทั้งนั้นไม่ว่าจะ หล่อๆ ขับกินลมหรือความแรงก็ไม่เป็นสองรองใครในยุคนั้น
ปีที่ผลิต: 2012-ปัจจุบัน
เครื่องยนต์ 6.3-litre V12, 730 แรงม้า
ระบบเกียร์: 7 Speed twin-clutch, ขับเคลื่อนล้อหลัง
Top speed: 211mph
Ferrari F12 berlinetta
ตัวเลข 12 ที่ทาง Ferrari นำมาตั้งเป็นชื่อรุ่นมีอะไรหลายๆ ที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ 12 สูบคือเครื่องยนต์ที่ใหญ่ที่สุดที่ทาง Ferrari เคยทำ, บนรถแข่ง F1 ก็เป็นเครื่องยนต์ V12 กระทั่งรุ่นนี้ F12berlinetta กับเครื่อง V12 วางหน้าทำให้กลายเป็นสุดยอดรถเครื่องยนต์วางหน้าของ Ferari ไปอีกรุ่น
ปีที่ผลิต: 1995-1997
เครื่องยนต์ 4.7L, V12, 513 แรงม้า
ระบบเกียร์: 6-speed manual, ขับเคลื่อนล้อหลัง
Top speed: 202mph
Ferrari F50
ความสำเร็จของ F40 ทำให้เกิด F50 ออกมา แม้จะไม่ได้มีเหตุผล เรื่องเล่า ความมีที่มาที่ไปชวนให้เป็นรถน่าเก็บเท่ากับ F40 แต่ที่เหนือกว่าคือด้านของการขับขี่ที่ถูกพัฒนามาให้ดีกว่าเดิม
ปีที่ผลิต: 1969-1974
เครื่องยนต์ 2.4L, V6, 195 แรงม้า
ระบบเกียร์: 5-speed manual, ขับเคลื่อนล้อหลัง
Top speed: 148mph
Ferrari Dino 246
เมื่อ Ferrari ต้องการที่จะมี Sport Car เครื่องวางกลางรุ่นเล็กมาทำตลาดแข่งกับ Porsche 911 ส่งผลให้เกิดแบรนด์ “Dino” นี้ขึ้นมากับเครื่องยนต์ที่เล็กลงจาก V12 มาเป็นเครื่อง V6 และตัวถังที่เล็กกระทัดรัดลงกว่าเดิม
ปีที่ผลิต: 1968-1973
เครื่องยนต์ 4.4L, V12, 352 แรงม้า
ระบบเกียร์: 5-speed manual, ขับเคลื่อนล้อหลัง
Top speed: 174mph
Ferrari 365 GTB/4 Daytona
Enzo Ferrari คือคนหนึ่งที่ติดอยู่กับความดั่งเดิม การวางเครื่องยนต์ไว้ด้านหน้าคือสิ่งที่เขารับไม่ได้ทั้งสิ้น จากจุดเริ่มต้นในสนามแข่ง F1 นำมาสู่การสร้าง Production Car จะเป็นรถที่
วางด้านหลังตัวคนขับทั้งสิ้นแต่รุ่นนี้ทำให้เกิดความแตกต่างในสายการผลิตด้วยการวางเครื่องไว้ที่ด้านหน้า ประกอบกับในช่วงปี 1966 Lamborghini เปิดตัวรุ่น Miura มากับรูปลักษณ์อารมณ์แบบรถ Daytona หน้ายืด หลังสั้น ด้วยสรีระตัวถังที่ไม่อำนวยในการวางเครื่องไว้ด้านหลังสักเท่าไรทาง Ferrari จึงยอมละความดั่งเดิมนำเครื่องยนต์มาวางไว้ด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหลังสำหรับรุ่น Ferrari 365 GTB
ปีที่ผลิต: 2015-ปัจจุบัน
เครื่องยนต์ 3.9L twin-turbo, V8, 661 แรงม้า
ระบบเกียร์: 7-speed dual clutch ขับเคลื่อนล้อหลัง
Top speed: 205mph
Ferrari 488 GTB
Sport Car มากมายในปัจจุบันหันไปคบหากับเครื่องยนต์เทอร์โบ ที่สามารถตอบโจทย์เรื่องอัตราเร่งดีกว่าและสร้างความตื่นเต้นในการขับขี่เพิ่มมากขึ้น 488 GTB คือผลผลิตที่ช่วยตอบความต้องการด้วยเครื่องยนต์ twin-turbo
ปีที่ผลิต: 1947
เครื่องยนต์ 1.5L, V12, 118 แรงม้า
ระบบเกียร์: 5-speed manual, ขับเคลื่อนล้อหลัง
Top speed: N/A
Ferrari 125 S
นี่คือ Production Car ที่ทาง Ferrari ผลิตออกจำหน่ายเป็นรุ่นแรกเมื่อตอนหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ทีมแข่งประสบปัญหาทางการเงินและต้องการนำเงินมาเพื่อพัฒนาทีม ชื่อเสียงของทีมแข่งนำไปสู่การผลิตรถเพื่อจำหน่ายและมันคือรถรุ่นนี้ที่เป็นรุ่นแรกในสายการผลิต Ferrari 125 S
ปีที่ผลิต: 1962-1964
เครื่องยนต์ 3.0L, V12, 300 แรงม้า
ระบบเกียร์: 5-speed manual, ขับเคลื่อนล้อหลัง
Top speed: 175mph
Ferrari 250 GTO
ความหายากและความสำเร็จในด้านมอเตอร์สปอร์ตของ Ferrari นำไปสู่การสร้าง 250GTO ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่มีความต้องการมากที่สุดตลอดกาล
ปีที่ผลิต: 1994-1999
เครื่องยนต์ 3.5L, V8, 375 แรงม้า
ระบบเกียร์: 6-speed manual or 6-speed electrohydraulic clutch auto, ขับเคลื่อนล้อหลัง
Top speed: 183mph
Ferrari F355
เส้นสายที่สง่างามกับเสียงเครื่อง V8 ลั่นๆ ดังสนั่นทุ่ง ทำให้ F355 เป็นรุ่นหนึ่งของ Ferrari ที่น่าสนใจของยุค 90 อย่างปฎิเสธไม่ได้แม้แต่น้อย
ปีที่ผลิต: 1987-1992
เครื่องยนต์ 2.9-litre twin-turbo V8, 471 แรงม้า
ระบบเกียร์: 5-speed manual, ขับเคลื่อนล้อหลัง
Top speed: 201mph
Ferrari F40
F40 คือรถที่ออกมาเพื่อฉลองครบรอบ 40 ปีของทาง Ferrari และเป็นรถรุ่นสุดท้ายที่อนุมัติการผลิตโดย Enzo Ferrari ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 1988 ด้วยความขลังของเรื่อง จึงส่งให้ทาง Ferrari F40 เป็นอีกรุ่นที่เป็นที่ต้องการ และน่าเก็บอย่างมากในปัจจุบัน
ติดตามข่าว Ferrari เชิญที่นี่