เพราะมลพิษทางอากาศมันอันตราย เนเธอแลนด์ประกาศปี 2573 ต้องไม่มีรถยนต์น้ำมันเบนซิน-ดีเซลวิ่งบนถนนอัมสเตอร์ดัม พร้อมดันทางเลือกรถยนต์ไฟฟ้าให้คนในประเทศ
กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอแลนด์ นับเป็นอีกหนึ่งประเทศล่าสุดที่เตรียมจะ “ยกเลิก” การใช้พลังงานเชื้อเพลิง หรือน้ำมัน และพวกเขาพร้อมจะผลักดันให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรมให้ได้ภายในปี 2573 หรืออีกแค่ในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า
กับประเด็นการขับเคลื่อนนี้มีความสำคัญอย่างมาก เพราะนั่นย่อมหมายถึงว่า ท้องถนนในกรุงอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงของเนเธอแลนด์ จะไร้ซึ่ง “รถยนต์ที่ใช้น้ำมัน” อย่างเด็ดขาดบนท้องถนน
การปฏิรูปการใช้พลังงานเชื้อเพลิงที่ข้องเกี่ยวกับรถยนต์ของเนเธอแลนด์ครั้งนี้ เกิดขึ้นจากมาตรการของภาครัฐของพวกเขาเอง ที่ต้องการกระตุ้นให้เกิดการใช้พลังงานทางเลือกอื่นๆ ในรถยนต์ และพลังงานที่ว่านั้นก็คือ พลังงานไฟฟ้า ที่รัฐบาลเนเธอแลนด์เองมุ่งหวังว่ามันจะเป็นตัวช่วยที่เข้ามาแทนที่พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล หรือน้ำมันอย่างเต็มรูปแบบ
อีก 10 ปีข้างหน้า ท้องถนนในกรุงอัมสเตอร์ดัม จะปราศจากรถยนต์ที่ใช้ "น้ำมัน"
ประกอบกับโลกของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบันที่ต่างก็เล็งเห็นว่าโลกอนาคตคงหนีไม่พ้นกับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างแน่นอน ดังนั้น เนเธอแลนด์เองในฐานะที่เป็นอีกเมืองที่พัฒนาแล้ว ก็คงจะทิ้งกับเทคโนโลยีด้านนี้เสียไม่ได้ เนื่องจากนานาประเทศหลายประเทศในทวีปยุโรปก็พากันพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น พร้อมทั้งประกาศแผนเดินหน้าสนับสนุนส่งเสริมหรือแม้แต่ภาคบังคับให้หันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า
ดูเพิ่มเติม
>> Volvo ท้าชน Tesla ส่ง “Polestar 2” ชิงตลาดรถ
>> ฮือฮาทั้งโลก Ford การันตี Ford Mach 1 รถ”อีวี” ของค่ายวิ่งได้ 600 กม.
แผนของพวกเขาก็ไม่ต่างจากประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรปที่เริ่มประกาศห้ามใช้รถยนต์น้ำมันเบนซิน และดีเซลในพื้นที่ต่างๆ ล่าสุดกรุงอัมสเตอร์ดัมก็เป็นอีกเมืองที่ประกาศห้ามใช้รถยนต์กลุ่มดังกล่าวภายในปี 2573 เพื่อควบคุมมลพิษ และแก้ปัญหาฝุ่นละออง
นั่นเพราะปัญหามลพิษที่ร้ายแรงของเมือง ทำให้ภาครัฐเนเธอแลนด์ต้องกระตุ้นการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ หรือภาพจำของคนทั่วไปที่มองกรุงอัมสเตอร์ดัม หรือแม้แต่เมืองรอตเตอร์ดัมของเนเธอแลนด์จะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยการ “ปั่น” จักรยาน แล้วทำไมจึงจะมีปัญหามลพิษที่เกิดจากรถยนต์ หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้ประเทศเนเธอร์แลนด์จะมีการใช้งานจักรยานจำนวนมาก แต่ด้วยปัญหาจราจรติดขัดในเมืองใหญ่ รถราที่มากมายอยู่ไม่น้อย ก็ให้ค่าคุณภาพอากาศของประเทศนี้แย่เกินกว่าที่กลุ่มประเทศยุโรปวางมาตรฐานไว้ ทำให้ทางการของเมืองดังกล่าวต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้
สำหรับตัวกรุงอัมสเตอร์ดัมนั้นทางสภาเมืองได้ลงความเห็นกันว่ารถยนต์ และมอเตอร์ไซค์ที่ใช้น้ำมันเบนซิน และดีเซลเป็นเชื้อเพลิง จะถูกห้ามขับขี่บนท้องถนนภายในปี 2573 โดยก่อนจะถึงจุดนั้น ทางการของเมืองได้ส่งนโยบายห้ามรถยนต์ และมอเตอร์ไซค์ที่ใช้น้ำมันดีเซล และผลิตก่อนปี 2548 วิ่งบนท้องถนน ก่อนขยับช่วงเวลาขึ้นมาเรื่อยๆ
ภาพการชาร์จพลังงานไฟฟ้าในรถยนต์อาจเป็นเรื่องที่ปกติอย่างมากในทวีปยุโรป
ขณะเดียวกันทางการของกรุงอัมสเตอร์ดัมยังมีแผนให้การสนับสนุนการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (Battery Electric Vehicle: BEV) หรือรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ไฮโดรเจน (Fuel-Cell Electric Vehicle: FCEV) รวมถึงเปิดช่องจอดรถพิเศษให้กับรถยนต์ที่ใช้พลังงานสะอาดด้วย
Sharon Dijksma เจ้าหน้าที่ควบคุมงานจราจรของกรุงอัมสเตอร์ดัม ออกมาแสดงความเห็นว่า มลพิษทางอากาศเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เพราะมันส่งผลต่อการดำเนินชีวิตในระยะยาวได้ นอกจากนี้กระทรวงสาธารณะสุขของประเทศยังชี้ว่าหากละเลยปัญหานี้ก็มีส่วนทำให้ประชากรมีอายุสั้นลง
อย่างไรก็ตาม หลายประเทศเริ่มจริงจังกับการลดมลพิษทางอากาศด้วยการสนับสนุนให้ประชากรใช้สิ่งของที่ปล่อยมลพิษน้อยที่สุด หรือไม่ปล่อยเลยยิ่งดี แต่การจะไปถึงจุดนั้นได้ ตัวประชากรในประเทศเองต้องมีการตระหนักรู้ถึงปัญหา ดังนั้นทางหน่วยงานรัฐ และเอกชนเองก็ต้องช่วยกันสื่อสารเรื่องราวเหล่านี้ด้วย
เช่นเดียวกับ เยอรมนี ก็เตรียมออกมาตรการทางภาษีเพื่อบังคับให้ผู้ผลิตรถยนต์ หยุดการจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงภายในปี พ.ศ. 2573
ในขณะที่ ฝรั่งเศส โดยรัฐบาลของ ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล ประกาศยกเลิกจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2583
นอกจากนี้ ประเทศอังกฤษ ก็ประกาศเตรียมยกเลิกผลิต นำเข้า และจำหน่าย รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ภายในปี พ.ศ. 2583 เช่นเดียวกับฝรั่งเศส เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศและช่วยลดภาวะโลกร้อนจากก๊าซ CO2 ในไอเสีย
หลายประเทศในยุโรปก็เริ่ม "แบน" รถยนต์พลังงานเชื้อเพลิงอย่างจริงจัง
ส่วนหนึ่งที่สำคัญคือการป้องกันและรักษาไว้ซึ่งสภาพอากาศและลดปัญหามลพิษ
เห็นได้ชัดเจนทีเดียวว่าหลายประเทศในทวีปยุโรปต่างหันมาเอาจริงเอาจังกับมาตรการที่จะผลักดันให้คนในประเทศของตัวเองหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็มีทั้งมาตรการส่งเสริมทางภาษี กระตุ้นให้ค่ายผู้ผลิต ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น หรือบางประเทศก็ประกาศเป็นกฎหมายยกเลิกการจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงน้ำมันเลยก็มี
แต่ท้ายสุดหากจะให้มาเปรียบเทียบกับบ้านเราคงยังไม่ได้ เพราะเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าบ้านเราก็เพิ่งจะตั้งไข่และเดินหน้า ไม่ใช่ว่าจะไม่สนใจเสียทีเดียว หากแต่ในอนาคตก็ต้องเป็นไปกับทิศทางโลกอยู่แล้วด้วยการเน้นให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น แต่หากมองในเรื่องความสำนึกของสิ่งแวดล้อม เชื่อได้ว่าคนไทยก็ต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้า แต่ภาครัฐเองก็ต้องมีมาตรการส่งเสริม กระตุ้นเหมือนกับที่ต่างชาติได้ดำเนินการ หรือการวางระบบความพร้อมด้านจุดชาร์จให้ชัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้น
เพราะแน่นอนว่าคงไม่มีคนไทยคนไหนอยากทำลายหรือทำร้ายสิ่งแวดล้อมของบ้านตัวเองเป็นแน่ ดังนั้น จะให้ดีรัฐก็ต้องช่วยด้วยเช่นกัน
ดูเพิ่มเติม
>> 9.5 หมื่นกม.หนุ่มดัตช์สร้างสถิติโลกใช้ “รถยนต์ไฟฟ้า” ไปไกลที่สุด
>> พร้อมลุย!! Mitsubishi e-Yi พร้อมบุกตลาดในเอเชียรวมถึงไทย
ติดตามข่าวสารรถยนต์ คลิกที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสองสภาพดี เชิญเข้าดูที่ตลาดรถตรงนี้