มีข่าวแว่วๆ มาว่า Nissan LEAF จะถูกนำมาจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการโดย Nissan ประเทศไทยจะนำเข้ามาขาย แม้ว่าทางผู้บริหารของ Nissan จะออกตัวก่อนแล้วว่าอาจต้องมีการตัดออพชั่นบางส่วนเพื่อให้ราคาตัวรถลงมาอยู่ในระดับที่คนไทยตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น กับราคารถและวันเปิดตัวที่ยังไม่ได้มีการเผยออกมา แต่ก็ทำให้ค่าย Nissan ดูน่าสนใจมากขึ้นในงาน Motor Expo 2017 ครั้งนี้ที่จะนำ Nissan LEAF เวอร์ชั่นขายจริงในประเทศญี่ปุ่นมาโชว์ตัว
ส่องเทคโนโลยีล้ำๆ ของ Nissan LEAF 2018 ที่นำหน้าหลายๆ รุ่นตอนนี้
เป็นที่กล่าวกันว่า LEAF เป็นรถอีกรุ่นที่ไฮเทคทันสมัยที่สุดในโลก ด้วยหลายๆ ตัวแปลด้านเทคโนโลยีที่ Nissan นำมาไว้ในรถคันนี้ จึงทำให้เราอยากนำเสนอความล้ำหน้าของรถรุ่นนี้ที่คนไทยกำลังจะได้สัมผัสในอนาคตอันใกล้
ทุกมุมภายนอกของ Nissan LEAF
ด้วยการที่เป็นรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบไม่มีเครื่องยนต์สันดาปใดๆ เข้ามาเกี่ยวข้องเหมือนรถไฮบริดที่หลายคนอาจจเคยสัมผัสกันมาบ้าง ทำให้ Nissan LEAF ปล่อยมลภาวะออกมาเป็นศูนย์ Zero Emission ซึ่งกำลังจะเป็นมาตรฐานของรถยนต์ทั่วโลกในอนาคต ภายใต้การพัฒนาที่มุ่งเน้นความอัจฉริยะทั้ง 3 ด้านจาก Nissan ได้แก่
Intelligent Driving (เทคโนโลยีการขับขี่ที่อัจฉริยะ)
Intelligent Power (เทคโนโลยีพลังการขับเคลื่อนอัจฉริยะ)
Intelligent Integration (เทคโนโลยีการเชื่อมต่ออัจฉริยะ)
ด้านที่หนึ่ง :: Intelligent Driving (เทคโนโลยีการขับขี่ที่อัจฉริยะ)
e-Pedal
เทคโนโลยีการทำงานที่รวมการเร่งความเร็วและการเบรกอยู่ไว้ที่แป้นเหยียบเดียว ทุกครั้งที่ต้องการให้รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ก็กดแป้นเหยียบลง ตัวรถจะเคลื่อนที่ไป แต่เมื่อยกเท้าออกเหมือนกับถอนคันเร่งตัวรถจะเบรกตัวเองอัตโนมัติ ด้วยอัตราการลดความเร็วที่ไม่เกิน 0.2 จี โดยระบบ e-Pedal นี้ทาง Nissan พัฒนามาเพื่อให้สำหรับผู้ใช้งานรถทางไกล หรือบนเส้นทางที่การจราจรติดขัด ไม่ต้องเหนื่อยกับการเมื่อยล้า จากจำนวนครั้งการเหยียบแป้นที่น้อยลง ไม่ต้องห่วงจะเกิดอุบัติเหตุเมื่อ Nissan ยังมีแป้นเบรกไว้อยู่ สำหรับจังหวะที่ต้องเบรกรถกะทันหัน แต่การทำงานส่วนใหญ่จะมาจากแป้นเหยียบหลักเพียงแป้นเดียวเท่านั้นสำหรับการเร่งและการเบรก
e-Pedal ยังมีแป้นเบรกมาไว้ในเพื่ออุ่นใจเมื่อต้องเบรกกะทันหัน
ProPILOT
ระบบการขับเคลื่อนอัตโนมัติ ทำให้ตัวรถสามารถวิ่งไปได้ในเลนหรือช่องจราจรของตัวเองทั้งทางตรงและทางโค้ง รวมไปถึงการรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า อยู่ภายใต้ความเร็วที่ผู้ขับขี่เป็นผู้กำหนดไว้เองก่อนหน้าที่ 30-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยระบบจะค่อยๆ ลดความเร็วไปจนหยุดอัตโนมัติเมื่อรถคันหน้าจอด และจะเคลื่อนที่อีกครั้งเมื่อผู้ขับขี่เหยียบลงที่แป้นเหยียบเบาๆ ระบบจะเริ่มสั่งทำงาน ProPILOT ต่อ ซึ่งมีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับการจราจรที่หนาแน่นแบบเมืองไทย ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ของผู้ขับขี่กับระบบใหม่นี้จะใช้งานคล่องได้แค่ไหน
ProPILOT ระบบขับเคลื่อนเองอัตโนมัติใน Nissan LEAF
ProPILOT Park
ถือว่าเป็นออพชั่นราคาแพงที่น่าใช้ไม่น้อยกับระบบช่วยผู้ขับขี่เข้าช่องจอดได้อย่างมืออาชีพ ที่จะทำให้การจอดรถไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปโดยระบบจะทำงานผ่านเซ็นเซอร์อัลตราโซนิค 12 ตัว กล้องความละเอียดสูงอีก 4 ตัว จากนั้นจะทำการประมวลผลและเข้าควบคุมการทำงานของ
การเร่ง การเบรก รวมไปถึงพวงมาลัยเองผู้ขับขี่ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน ให้ตัวรถเข้าไปจอดในช่องได้อย่างสมบูรณ์แบบและเที่ยงตรง แม่นยำ ไม่ต้องเหนื่อยกับการหันซ้าย ขวาเวลาเข้าช่องจอดอีกต่อไป
ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ProPILOT Park
ซึ่งความอัจฉริยะในส่วนนี้อาจโดนตัดออกในบางข้อ เพื่อเป็นการลดต้นทุนการนำเข้าของ Nissan LEAF ที่ไม่น่าจะมาถึงคนไทยคงจะเป็นส่วนของ ProPILOT ด้วยเรื่องสภาพการจราจรที่เรียกว่า “ตามใจฉัน” หรือขับรถมักง่ายสำหรับผู้ที่ใช้รถบนท้องถนนเมืองไทยบางคน ระบบนี้อาจจะยังไม่ฉลาดพอจะเข้าใจกับตรรกะความเห็นแก่ตัวของคนพวกนี้สักเท่าไร เป็นไปได้ว่า Nissan ประเทศไทยอาจจะเห็นด้วยและทำให้คนไทยอดใช้งานระบบ ProPILOT เพื่อเป็นการลดต้นทุน ส่วนระบบ ProPILOT Park หรือการช่วยจอดอัตโนมัติ มีใช้งานในรถเมืองไทยแล้วหลายรุ่น ถ้าไม่เน้นเรื่องตัดสเปค ลดต้นทุนมากนักและรักษาส่วนนี้ไว้คนไทยก็อาจจะได้เทคโนโลยีนี้มาใช้งานกันกับรถราคาไม่ถึงล้านก็เป็นได้
ด้านที่สอง :: Intelligent Power (เทคโนโลยีพลังการขับเคลื่อนอัจฉริยะ)
e-Power
พลังขับเคลื่อนของ Nissan LEAF อยู่ภายใต้มอเตอร์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด มลภาวะเป็นศูนย์ที่เรียกว่า e-Powertrain มอเตอร์ไฟฟ้า AC Synchronous electric motor รหัส EM57 กำลังส่งที่ 110 กิโลวัตต์หรือ 150 แรงม้า ถูกพัฒนามากกว่ารุ่นที่แล้วถึง 38% รวมไปถึงแรงบิดขนาด 320 นิวตันเมตร เพิ่มขึ้นกว่ารุ่นเดิม 26% พลังไฟฟ้าถูกเก็บอยู่ภายใต้ชุดแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนแบบใหม่อีกเช่นกัน ถูกปรับปรุงและพัฒนาเซลล์ภายในให้สามารถเก็บพลังงานได้ดีขึ้น 67% ทั้งที่ขนาดของตัวแบตเตอรี่เท่าเดิม โดย Nissan การันตีระยะที่วิ่งได้ไกลถึง 400 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง
แบตเตอรี่รุ่นใหม่พัฒนาให้วิ่งได้ไกลกว่าเดิม
โดยสามารถตรวจสอบสถานะการชาร์จได้ผ่าน App ในมือถือ ส่วนระยะเวลาในการชาร์จนั้นมีดังต่อไปนี้
ชาร์จปกติ 3 kW onboard Charger ใช้เวลา 16 ชั่วโมง
ชาร์จปกติ 6 kW onboard Charger ใช้เวลา 8 ชั่วโมง
กรณีที่ชาร์จด่วน Quick Charging ใช้เวลา 40 นาทีชาร์จได้ 80%
การยอมรับในด้านรถมอเตอร์ไฟฟ้าในไทยยังมีน้อยเมื่อ Nissan ประเทศไทยกล้าเริ่ม สิ่งที่ต้องพิสูจน์คือด้านบริการทั้ง Service ตัวรถเมื่อเกิดปัญหา รวมไปถึงสถานีชาร์จที่ยังเป็นเรื่องใหม่มากๆ ในเมืองไทย มีที่ไหนบ้างหรือต้องชาร์จแต่ที่บ้านเพียงอย่างเดียว ตัวรถเมื่อเจอถนนน้ำท่วมแบบในกรุงเทพฯ ที่ฝนตกหนักๆ แบตเตอรี่ที่วางไว้ต่ำขนาดนั้นจะเป็นอย่างไร ขับใช้งานได้หรือไม่หรือต้องจอดข้างทางอย่างเดียว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความท้าทายที่ Nissan เมื่อคิดจะเป็นผู้ริเริ่ม กล้านำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ก็ต้องหาวิธีแก้ปัญหา เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ซื้อที่เมื่อ
ยอมจ่ายเงินเกือบล้านแล้วพวกเขาจะได้อะไรกลับมาบ้าง
แบตเตอรี่ถูกวางไว้ที่กลาง ช่วยในด้านการขับขี่ที่ทรงตัวได้ดีเยี่ยม
ด้านที่สาม :: Intelligent Integration (เทคโนโลยีการเชื่อมต่ออัจฉริยะ)
NissanConnect ระบบการเชื่อมต่อระหว่างผู้ขับขี่กับตัวรถ ที่รองรับได้ทุกรูปแบบการใช้งานที่รถยุคหน้าต้องมี การรับสาย โทรออก ฟังเพลง หรือแผนที่ ซึ่งอาจจะดูไม่ค่อย Wow!! เท่าไรนักสำหรับรถเมืองไทยในเรื่องการเชื่อมต่อที่รถหลายๆ รุ่นมีมาให้แล้วทั้ง Android Auto และ Apple CarPlay แล้วและเชื่อว่าอนาคตระบบ NissanConnect นี้อาจจะไม่ได้ไปต่อเพราะถูกระบบทั้งสองเข้ามาแทนที่อย่างเต็มรูปแบบในไม่ช้านี้
การตัดออพชั่นบางอย่างทิ้งเพื่อให้ราคาของ Nissan LEAF เอื้อมถึงได้ไม่ยากสำหรับคนไทยเป็นไปตามข้อกำหนดของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ให้ผู้ผลิตรถยนต์ได้รับการยกเว้นภาษีในช่วง 2 ปีแรกในการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากต่างประเทศเพื่อจำหน่าย เป็นการกระตุ้นเพื่อให้คนไทยหันมาใช้และเห็นข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า โดยคิดอัตราภาษีสรรพสามิตเพียง 2 เปอร์เซ็นเท่านั้น แต่แม้จะคิดแค่ 2 เปอร์เซ็นราคาของ Nissan LEAF ก็ยังทะลุ 9 แสนบาทไทยอยู่ดี แต่มาคิดดูแล้วในบรรดารถพลังงานทางเลือกทั้งหลายที่จำหน่ายอยู่ในไทยตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบหรือพลังงานไฮบริดก็ดี ถ้า Nissan LEAF ทำราคาเริ่มต้นอยู่ที่ไม่เกินล้านได้จริงก็ถือว่าเป็นรถพลังงานทางเลือกที่ถูกที่สุดที่มีขายในไทยได้เลยทีเดียว (ไม่นับ Honda Jazz Hybrid ที่ตอนนี้ไม่มีจำหน่ายแล้ว)
ภายในทุกมุมมองของ Nissan LEAF
เทียบราคาขายของ Nissan LEAF ของญี่ปุ่นและสหรัฐฯ
ราคาขายที่ญี่ปุ่นอยู่ที่ ราคา 3,150,360 – 3,990,600 เยน หรือประมาณ 920,038 – 1,165,424 บาทไทย ส่วนที่อเมริการาคาเริ่มต้นที่ 29,990 ดอลล่าร์สหรัฐหรือแปลเป็นเงินไทยประมาณ 1,049,650 บาทไทยแบบนี้ก็แสดงว่าการที่ Nissan บอกว่าจะหั่นออพชั่นบางอย่างออก ทำให้ราคาไม่แพงเกินไป ทำให้คนไทยไม่ได้ใช้รถคุณภาพเทียบเท่ากับชาวบ้านเขาก็เพื่อให้ราคาเริ่มต้นเท่ากับราคาเมืองนอกเขาขายๆ กันอยู่ แสดงว่าราคาของอุปกรณ์ที่ตัดออกไปนี้เพื่อไปจ่ายภาษีสรรพสามิตนั่นเองหรือเนี่ย!! รอดูว่าเป็นออพชั่นอะไรบ้าง ชิ้นเล็กหรือชิ้นชิ้นใหญ่จนอาจทำให้เสน่ห์ที่ทำให้คนสนใจในรุ่นนี้หายไปหรือเปล่า
รถยนต์มลภาวะเป็นศูนย์ทำได้จริง ทำภาครัฐฯ ให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง ทำให้รถไฟฟ้าราคาถูกลง ประชาชนกล้าซื้อใช้รถประเภทนี้มากขึ้น
ต้องรอลุ้นราคาและเลขกลมๆ ของ Nissan LEAF เวอร์ชั่นขายในไทยที่เผยออกมาขายจริงในปีหน้าว่าจะซื้อใจคนไทยได้แค่ไหน รวมไปถึงความพร้อมของศูนย์บริการและช่างที่ Nissan ประเทศไทยกล่าวไว้ว่าตอนนี้ได้ส่งช่างไปเรียนรู้ที่ประเทศญี่ปุ่นเพื่อเตรียมพร้อมการขายจริงในอีกไม่นานที่จะถึงนี้แล้ว เอาเป็นว่าถ้าท่านไหนสนใจนวัตกรรมที่เบิกทางสู่ความเป็นรถยนต์แห่งอนาคตนี้ Nissan จะนำรถคันจริงมาโชว์ภายในงาน Motor Expo 2017 ไปลองสัมผัสคันจริง ตัวเป็นๆ กันก่อนแล้วรอราคาเปิดมาว่ามันจะคุ้มกับความใหม่ที่ถนนเมืองไทยไม่เคยมีหรือเปล่า
ดูเพิ่มเติม
>> Nissan Note e-Power 2018 อาจปรากฏตัว Motor Expo 2017
>> Nissan Leaf 2018 ใหม่ เวอร์ชั่นขายจริงในไทย มีจุดเด่นอะไรบ้าง?