ตามรายงานสถานะความปลอดภัยบนท้องถนนระดับโลกขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization – WHO) ปี 2558 พบว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากการจราจรบนถนนสูงที่สุดในโลก ที่อัตรา 36.2 ต่อประชากร 100,000 คน และองค์การอนามัยโลกได้กระตุ้นให้ประเทศต่างๆ เพิ่มความเข้มงวดของกฎหมายจราจรเพื่อลดอัตราการชน การบาดเจ็บ และการตายบนท้องถนน
เนื่องโอกาศนี้
ทางค่าย ฟอร์ด ประเทศไทย ก็จัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบ รวมถึงโครงการ “Driving Skills for Life – ฉลาดขับ ประหยัด ปลอดภัย” เพื่อเสริมสร้างและปลูกฝังทักษะที่จำเป็นในการขับขี่อย่างปลอดภัยและการหลบเลี่ยงอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น
Ford Everest 2017
ความปลอดภัย ซึ่งเป็นปัจจัยที่
Ford ให้ความสำคัญมากๆในการออกแบบรถยนต์ของเขา พูดถึงเรื่องนี้คงจะพลาดจาก
Ford Everest ไม่ได้ และวันนี้เราจะมาตรวจสอบการทำงานของรถรุ่นนี้ในสถานการณ์รถชนให้ดูกันครับ
สัมผัสถึงอันตราย
Ford Everest มาพร้อมเซนเซอร์อัจฉริยะที่ได้รับการออกแบบมา เพื่อจับความเปลี่ยนแปลงของแรงดันอากาศด้านในประตูเกือบในทันทีที่เกิดการปะทะด้านข้าง เมื่อทำงานร่วมกับเครื่องวัดความเร่ง (Accelerometer) ที่ออกแบบมา เพื่อวัดการเปลี่ยนแปลงความเร็วที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จะช่วยประเมินความรุนแรงของการปะทะ และตัดสินใจว่าถุงลมนิรภัยควรทำงานหรือไม่ ทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียง 8 มิลลิวินาที เท่านั้น
เริ่มปฏิบัติการ
ขั้นต่อไปต้องใช้เวลาประมาณ 25 มิลลิวินาที ในการปะทะด้านข้างที่รุนแรง ใช้เวลานับตั้งแต่เริ่มเกิดการปะทะน้อยกว่าหนึ่งในสามของเวลาที่ใช้ในการกะพริบตาเท่านั้น โดยระบบเติมลมของถุงลมนิรภัยทั้งหมดในตัวรถจะเติมลมตามลักษณะการปะทะที่เซนเซอร์ระบุ นอกจากถุงลมนิรภัยด้านข้างแล้ว
Ford Everest ยังมาพร้อมม่านถุงลมด้านข้าง (Side Curtain Airbag) ที่ช่วยกันแรงปะทะด้านข้างจากที่นั่งโดยสารทั้ง 3 แถว
โครงสร้างที่มั่นคง
Ford Everest ถูกสร้างด้วยวัสดุที่มีความแข็งแกร่งสูง เพื่อให้สามารถจัดการกับพลังงานจากการชนและเพิ่มความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้โดยสาร
โครงสร้างของรถได้รับการออกแบบให้ส่งแรงปะทะออกไปจากตัวคนขับและผู้โดยสาร และดูดซับพลังงานจากการชนไว้ โครงเหล็ก
ถุงลมนิรภัยได้รับการออกแบบให้ดูดซับบางส่วนของแรงกระแทกก่อนที่จะไปถึงตัวผู้โดยสาร จนถึงตอนนี้ คนขับและผู้โดยสารอาจยังไม่รู้ตัวว่าเกิดการปะทะขึ้นแล้ว เพราะภายในห้องโดยสารได้รับการปกป้องด้วยโครงเหล็กนิรภัยที่จะช่วยลดการบาดเจ็บให้น้อยที่สุด และช่วยให้การออกจากรถหลังอุบัติเหตุง่ายยิ่งขึ้น
ทั้งเซนเซอร์ ถุงลมนิรภัย และโครงสร้าง สามารถทำงานภายใน 70 มิลลิวินาที เท่านั้นเอง
Safety cell absorbs energy และ Safety deflects forcesใน Ford Everest
เทคโนโลยีเพื่อการขับขี่ที่ง่ายขึ้น
เทคโนโลยีช่วยขับขี่อัจฉริยะต่างๆ ใน
Ford Everest ได้แก่ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control), ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System) ที่ช่วยลดความเสียหายจากการกระแทกหรือหลีกเลี่ยงโอกาสการชน, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) ที่ทำงานร่วมกับกล้องที่ติดตั้งบริเวณหน้ารถ, ระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System) เพื่อจะส่งสัญญาณแจ้งเตือนเมื่อตรวจพบว่าผู้ขับขี่มีอาการเหนื่อยล้า และระบบตรวจจับรถในจุดบอด (BLIS – Blind Spot Information System) พร้อมระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert)
ขับขี่อย่างสบายใจ
Ford Everest จะช่วยให้คุณเดินทางอย่างสบายใจ ทั้งดีไซน์และวิศวกรรมที่อยู่เบื้องหลัง นอกจากนั้น
Ford ยังคงมุ่งมั่นทำงานอย่างหนัก เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่มั่นใจและสบายใจเมื่อออกเดินทาง
ด้านหลัง Ford Everest 2017
ในสถานการณ์ที่เกิดการปะทะด้านข้าง ฟังก์ชันดังกล่าวจะทำงานภายใน 70 มิลลิวินาที ส่วนเทคโนโลยีช่วยขับขี่อันล้ำสมัยสามารถตอบสนองและช่วยชีวิตได้เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์บนท้องถนนที่ไม่คาดคิด
>> ดูเพิ่มเติม:
- ชม Ford F-150 พร้อมกับชุดแต่งโครเมี่ยมทั้งคัน
- Ford Ranger และ Everest รุ่นใหม่ วิ่งทดสอบแล้วในออสเตรเลีย
- Ford Ranger แกร่ง…เพื่อทุกคน