เปิดตัว SUV พลังไฟฟ้ารุ่นที่ 2 แล้ว มั่นคงแน่วแน่นเพราะนำเข้าอยู่แล้วกับ Audi e-tron Sportback 2021 ปล่อยให้คู่แข่งวางแผนประกอบภายในไทยเองลังเล เปลี่ยนแผนแล้วยังไงต่อดี
รถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมในเวลานี้ ถ้าสนใจก็ต้องมามองที่ Audi นี้แหละ เมื่อมีจุดยืนในการเป็นผู้นำเทรนด์ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ในวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ได้ฤกษ์เปิดตัว Audi e-tron Sportback 55 quattro S line มีรุ่นย่อยเดียว และนี่เป็นโมเดลที่ 2 ของค่ายพร้อมส่งมอบรถทันทีภายในสิ้นปีนี้
ไม่ใช่แค่ อาวดี้ ประเทศไทย ที่มุ่งมั่นทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า แต่ในบริษัทแม่อย่าง AUDI AG ที่กำหนดนิยามใหม่ของ “Vorsprung” ให้มีความทันสมัย สะท้อนจุดยืน ความพร้อม และบทบาทของแบรนด์ Audi สำหรับยุคยานยนต์ใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า พร้อมเปิดตัว “แคมเปญ Branding ใหม่พร้อมกันทั่วโลกกับสโลแกน “Future is An Attitude”
ราคานี้แรงกว่า Audi e-tron ตัวถังปรกติอยู่เล็กน้อย เพราะมาพร้อมกับชุดแต่ง S line ทั้งภายนอกและภายใน
โดยกระจังหน้าแบบคลาสสิกถูกอัพเกรดใหม่เป็น Single frame เส้นสาย รูปทรง เอกลักษณ์ของ Audi ขณะที่ตัวถังรูปทรงคูเป้ให้ความสง่างามมากยิ่งขึ้น โดดเด่นด้วยชุดแต่งภายนอกสไตล์สปอร์ต S line สปอยเลอร์หลังและขอบประตูอะลูมิเนียม
ภายในห้องโดยสารผสมผสานเทคโนโลยีและลุคสปอร์ตพรีเมียมเข้าไว้ด้วยกัน จอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ Virtual cockpit plus ขนาด 12.3 นิ้ว และจอควบคุมมัลติฟังก์ชันแบบสัมผัส พร้อมตอบสนองการสั่งงาน (haptic feedback) ขนาด 8.6 นิ้ว รองรับการสั่งการด้วยการเขียนตัวหนังสือด้วยนิ้ว มีระบบ Audi smartphone interface และระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ
หลังคาเป็นแบบพาโนรามิคเลื่อน เปิด-ปิด ด้วยระบบไฟฟ้า และในแพ็คเกจ Interior S lineของ Audi e-tron Sportback เป็นเบาะนั่งหุ้มหนัง Valcona คุณภาพสูง ผิวสัมผัสที่ละเอียด เบาะนั่งคู่หน้าแบบ S Sports ลายตัดเย็บ Diamond cut พร้อมสัญลักษณ์ S line พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันท้ายตัดหุ้มหนังแบบสปอร์ต พร้อมสัญลักษณ์ S line
อ่านเพิ่มเติม : Audi e-tron Sportback 2020 รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง เปิดตัวพร้อมจำหน่ายใน 15 ตุลาคมนี้
สำหรับ Audi รหัสชื่อรุ่นจะมี 35, 40, 45, 55 หรือเลขอื่น ๆ ก็จะเป็นการบ่งบอกความแรง เลขยิ่งเยอะยิ่งแรง โดยAudi e-tron Sportback 55 quattro S line มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ electric quattro มีมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตำแหน่ง ทำกำลังร่วมกันสูงสุดได้ 408 แรงม้า ระยะทางวิ่งสูงสุด 463 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟหนึ่งครั้ง (อ้างอิงตามผลการทดสอบโดยใช้มาตรฐาน NEDC) ซึ่งการเคลมนี้มากกว่ารุ่นตัวถัง SUV ด้วยตัวถังที่เป็นทรงคูเป้ให้ค่าอากาศพลศาสตร์ที่ดีกว่า
เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนมีการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ (Recuperation) 2 รูปแบบ คือ ทั้งจากพลังงานจากการปล่อยให้รถวิ่งในลักษณะลอยตัว (Coasting) และพลังงานจากการเบรก (Braking)
รูปแบบที่ 1 พลังงานจากการปล่อยให้รถวิ่งในลักษณะลอยตัว ซึ่งมีวิธีการตั้งค่าการทำงานรูปแบบนี้ 2 วิธี คือ ตั้งค่าจากแป้น paddle shift ที่สามารถเลือกปรับได้ 3 ระดับ และผู้ขับขี่สามารถเลือกที่จะตั้งระดับการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่โดยอัตโนมัติผ่านฟังก์ชัน Predictive efficiency assist (PEA) ในระบบ MMI ได้อีกด้วย จากการประมวลผลและควบคุมการเคลื่อนที่เชิงฟิสิกส์ ส่งผลให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมความเร็วของรถได้จากการถอนเท้าออกจากคันเร่ง โดยที่ไม่ต้องเหยียบเบรกได้
รูปแบบที่ 2 พลังงานจากการเบรก (Braking) เมื่อผู้ขับขี่เหยียบเบรกจะส่งผลให้เกิดพลังงานกลับเข้ามาในระบบการขับขี่ หากเหยียบเบรกที่ความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จะสามารถนำพลังงานกลับเข้าไปได้สูงสุดถึง 300 นิวตันเมตร และ 220 กิโลวัตต์ หรือคิดเป็นมากกว่า 70% ของกำลังที่มอเตอร์ผลิตได้ และการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ในรุ่น e-tron Sportback นี้ สามารถเพิ่มระยะทางการขับขี่ได้มากถึง 30% ของระยะทางทั้งหมด
มีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ Glacier white metallic, Floret silver metallic, Mythos black metallic, Daytona grey pearl effect, Siam beige metallic และ Antigua blue metallic โดยมีราคาจำหน่ายที่ 5,299,000 บาท กำหนดส่งมอบตั้งแต่เดือนธันวาคม 2020 เป็นต้นไป โดย Audi e-tron ทุกรุ่นจะได้รับการดูแลจาก Audi Protection ด้วยการรับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี
ลองค้นหา รถมือสอง ที่ถูกใจมีให้เลือกกว่าหมื่นคัน