Honda Civic คือรถยนต์รุ่นที่ได้รับความนิยมสูงมากทั้งในสหรัฐอเมริกาและในประเทศไทย ด้วยสมรรถภาพที่สูง สิ่งอำนวยความสะดวกครบครันไปจนถึงการออกแบบที่ตอบทั้งความสปอร์ตและความหรูหรา
ทำให้ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ Generation ความนิยมในรถรุ่นนี้ก็เข้มแข็งไม่เสื่อมคลาย วันนี้เราเลยอยากพาไปดูกันว่า ตั้งแต่ Civic 1st Generation จนถึง Civic ปี 2018 นั่นมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
Civic 1973 เก่าแต่คลาสสิค
1. เครื่องยนต์
Civic 1st gen ปี 1973 มาพร้อมเครื่องยนต์ซีรีย์ E ของ Honda แบบสี่สูบเรียง มีระบบหล่อเย็นและดิสก์เบรกด้านหน้า โดยมีเครื่องยนต์ความจุ 1,169 CC 50 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหน้า และมีทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 4 สปีด และพิเศษคือ ระบบเกียร์อัตโนมัติ 2 สปีด แบบ Hondamatic
ดูเพิ่มเติม
>> ซื้อ Honda Civic มือสอง ปีใหนดีนะ?
>> CIVIC Again นางฟ้าชาร์ลี! Honda ร่วมจัดทัวร์คอนเสิร์ต Charlie Puth ทั่ว USA
2018 มีการพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีสมรรถนะดีกว่าเดิม
Civic 2018 มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 2 แบบSOHC 4สูบ 16 วาล์ว i-VTEC ความจุมากกว่าที่ 1,799 CC และแบบ DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว VTEC Turbo -ความจุ 1,498 หัวฉีดมัลติพอยท์ PGM-FI เบรกหน้าใช้ดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน ทุกโดยทุกรุ่นมาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT
2.การออกแบบตัวรถ
ถ้ามองย้อนไปจากมุมมองคนสมัยนี้ ก็คงรู้สึกว่า Civic ปี 1973 จะมีดีไซน์ที่เก่าไปสักหน่อย แต่ในปี 1972 ที่รถคันนี้ได้เปิดตัว ความสวย+เก๋ และทันสมัยของมันทำให้นี่คือรถที่หลายคนยอมแลกวิญญาณเพื่อให้ได้เป็นเจ้าของเลย การออกแบบของ Civic 1973 นั้น ออกแบบมาให้เข้าคอนเซป Honda, Make It Simple ด้วยดีไซน์ที่เรียบง่าย มีการเน้นส่วนโค้งแต่ยังไม่ชัดเจนมาก ไฟหน้า ไฟท้ายยังไม่มีการเพิ่มลูกเล่นอะไรมาก เน้นใช้งาน เรียกว่าเป็นสมัยนิยมของ ณ เวลานั้น
สวยงามตามสมัยนิยม
โดยบอดี้ของ Civic 1973 มีวางจำหน่าย 2 แบบ คือแบบซีดาน 2 ประตู และแฮชแบกแบบ 5 ประตู โดยในแบบซีดานมีความยาวระหว่างล้อหน้า-หลังอยู่ที่ 2.2 เมตร และแบบแฮชแบกอยู่ที่ 2.28 เมตร ความยาวตั้งแต่หัวจรดท้ายอยู่ที่ 3.5 เมตร (ซีดาน) และ 3.7 เมตร (แฮชแบก) น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 680กิโลกรัม
โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้น
ส่วนในบอดี้ของ Civic 2018 มีการออกแบบที่ต่อยอดจาก Civic ในเจน 10 ที่เน้นความโฉบเฉี่ยว มีการผสานความคมเข้ากับความมนได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะการออกแบบไฟหน้าที่ยกสูงขึ้นเพื่อเพิ่มความน่าสนใจ โดยมีบอดี้ที่วางจำหน่ายทั้งหมด 3 แบบ ทั้งแบบซีดาน แฮชแบก และ คูป แต่เข้ามาจำหน่ายในไทยแค่ ซีดานและแฮชแบก
โดยความยาวระหว่างล้อหน้า-หลังอยู่ที่ 2.7 เมตร ความกว้างอยู่ที่1.8 เมตร ความยาวตั้งแต่หัวจรดท้ายอยู่ที่ 4.6 เมตร น้ำหนัก 1.326 ตันในรุ่นซีดาน และยาว 4.5 เมตร หนัก1.362ตันในรุ่นแฮชแบก
และสิ่งที่เพิ่มเข้ามาใน Civic 2018 ที่เห็นได้ชัดอีกอย่างหนึ่ง คือสีที่มีให้เลือกมากขึ้น ถึง 6 สี Modern Steel Metallic (เทาโมเดิร์นสตีล),Crystal Black Pearl (ดำคริสตัล มุก),Lunar Silver Metallic (เงินลูนาร์),Modern Steel Metallic (เทาโมเดิร์นสตีล),Rallye Red (แดงแรลลี่),White Orchid Pearl (ขาวออร์คิด มุก)
3.ห้องโดยสาร&เทคโนโลยีอำนวยความสะดวก
Civic 1973 มาพร้อมกับเบาะหนังไวนิล แผงหน้าปัดทำจากไม้ เครื่องเล่นวิทยุ และเครื่องปรับอากาศแบบปรับได้สองระดับ พร้อมระบบช่วงล่างและกันสะเทือนแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ และในรุ่นแฮชแบกมีการเพิ่มเบาะหลังแบบพับได้เข้ามาอีกด้วย
ห้องโดยสาร Civic 1973
Civic 2018 แน่นอนว่าเวลาผ่านมา เทคโนโลยีก้าวไกลขึ้น ห้องโดยสารของ Civic 2018 ย่อมมีลูกเล่นและสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้นมากมาย เริ่มที่พวงมาลัยแบบ Cruise Control พร้อมหน้าจอควบคุมแบบสัมผัสที่สามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ของคุณได้ รวมทั้งยังมีเทคโนโลยีอื่นๆ ทั้ง Push Start และเครื่องปรับอากาศอัตโนมัติอีกด้วย
เทคโนโลยีใหม่ๆ เพียบ
4.ความเร็ว
Civic 1973 สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ประมาณ 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Civic 2018 สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ที่ประมาณ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แรงและประหยัดน้ำมันใช่เล่น
5. ประหยัดน้ำมัน
Civic 1973 แม้จะผ่านมา 40 กว่าปีแล้ว แต่ปรากฏว่า Civic ประหยัดน้ำมันอยู่พอตัวเลย โดยใช้ไปแค่ 7.1 ลิตร ต่อระยะทาง 100 กิโลเมตรนั่นเอง
ส่วน Civic 2018 ด้วยเทคโนโลยีที่มากขึ้น ทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น เฉลี่ยแล้วสามารถทำได้ที่ 6 ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร
ดูเพิ่มเติม
>> Honda civic 2018 โดนใจไหมฟังคอมเม้นท์กัน
>> 10 ข่าวเด่นประจำสัปดาห์ วันที่ 30 มิ.ย.- 6 ก.ค. 2018
ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม
ทั้งนี้ทั้งนั่น ทีมงานไม่ได้เปรียบเทียบเพื่อบอกว่า Civic 1973 นั้นแย่กว่าหรือย่างไหร่ เพียงแค่อยากชี้ให้เห็นว่า ตลอดการเดินทางของ Civic ตั้งแต่คันแรก จนถึง Civic 2018 ทาง Honda ไม่เคยหยุดพัฒนารถรุ่นี้เลย ทำให้ยิ่งเวลาผ่านไป ความนิยมของ Civic ก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย
Chobrodขอฝากความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ไว้เพียงเท่านี้และอย่าลืมแชร์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องรถยนต์ของคุณให้เราด้วยโดยการให้ Comment ด้านล่างนี้ได้เลย
ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสองสภาพดีและน่าเชื่อถือ เชิญที่นี่