แบตเตอรี่รถยนต์หมด ทําไง เรามีคำแนะนำ

ประสบการณ์ใช้รถ | 2 ก.ค 2568
แชร์ 0
แบตรถยนต์หมดกลางทางอาจทำให้ผู้ขับรถหลายคนเครียดไม่รู้แก้ไขอย่างไร ในบทความนี้เราจะแนะนำให้คุณรู้ว่า แบตเตอรี่รถหมด อาการคืออะไร แบตรถยนต์หมดกระทันหันกลางทางจะทำยังไง


แบตเตอรี่รถยนต์หมดจะทำให้รถสตาร์ทไม่ติด

แบตเตอรี่รถยนต์ อายุการใช้งานได้นานเท่าไร

โดยเฉลี่ย แบตเตอรี่รถยนต์ มีอายุการใช้งานประมาณ 2 ปี แล้วจะเริ่มเสื่อมสภาพ ตามที่เราสังเกต แบตเตอรี่รถยนต์ อายุการใช้งานขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น ลักษณะการใช้งานรถยนต์ (รถวิ่งบ่อยไหม ขับรถทางไกลหรือไม่) การดูแลแบตเตอรี่ ประเภทของแบตเตอรี่ (แบตเตอรี่น้ำ แบตเตอรี่ไฮบริด แบตเตอรี่กึ่งแห้ง หรือ แบตเตอรี่แห้ง) และการจ่ายไฟของไดชาร์จ (ตัวชาร์จไฟเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่)

แบตเตอรี่รถหมด อาการคืออะไร?

เมื่อใกล้ถึงเวลาแบตรถยนต์หมด จะสังเกตได้ว่าแบตเตอรี่รถหมด อาการจะเป็นดังนี้

1. เริ่มมีการสตาร์ทเครื่องยนต์ติดยาก หรือไม่ติดเลย
โดยเฉพาะช่วงเช้า หรือ หลังจอดทิ้งไว้นานหลายวัน เวลาสตาร์ทเครื่องยนต์เสียงมอเตอร์สตาร์ทจะหมุนช้าเหมือนไม่มีแรง หรือรุนแรงถึงขั้นสตาร์ทไม่ติด นั่นแสดงว่ามีประจุไฟไม่พอสำหรับสตาร์ทเครื่องยนต์

2. ไฟหน้ารถเริ่มสว่างน้อยลง
เพราะว่า ประจุไฟฟ้าในแบตเตอรี่ไม่เพียงพอ ถ้าเราขับรถกลางคืนบ่อยๆ อาจจะสังเกตุได้ง่ายกว่า หรือเมื่อคุณออกจากบ้านค่ำๆ มืดๆ เวลาขับเข้าลานจอดให้ลองเปิดไฟหน้ารถดูน่าจะพอให้สังเกตได้

3. กระจกไฟฟ้าเริ่มทำงานช้าลง
แบตเตอรี่รถหมด อาการนี้มักเกิดขึ้นจากกำลังไฟจากแบตเตอรี่ไม่เพียงพอ จากปกติที่เคยกดทีเดียวขึ้น/ลงสุดอย่างรวดเร็วกลับค่อยๆ ขึ้น/ลงช้าๆ พร้อมเสียงมอเตอร์กระจกไฟฟ้าที่หมุนแบบหนืดๆ เหมือนไม่มีกำลัง

4. ระบบไฟในรถเริ่มทำงานผิดปกติ
เมื่อแบตเตอรี่รถยนต์หมด หรือเกือบหมด จะสังเกตุได้จากไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร ไฟหน้าจอเครื่องเสียงและไฟตามจุดต่างๆ เช่น ไฟเลี้ยว และไฟท้าย ซึ่งเริ่มสว่างน้อยลง บางทีก็อาจติดๆ ดับๆ ถ้าบีบแตรดู เสียงจะเบาผิดปกติ นั่นแสดงว่ากำลังไฟจากแบตเตอรี่ของคุณไม่เพียงพอเช่นกัน

แบตรถยนต์หมดทํายังไง?

ปัญหาแบตเตอรี่รถยนต์หมดอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น แบตเตอรี่เสื่อม ไดชาร์จเสื่อม มอเตอร์สตาร์ทเสื่อม หรือระบบไฟฟ้าลัดวงจร

เมื่อแบตรถยนต์หมด สตาร์ทรถไม่ติด วิธีแบตรถยนต์หมดทํายังไงเบื้องต้นคือ ขอพ่วงแบตเตอรี่กับรถยนต์คันอื่น ตามขั้นตอนดังนี้

  1. เตรียมสายพ่วงแบตเตอรี่ และขอความช่วยเหลือจากรถยนต์คันอื่นที่สามารถให้พ่วงแบตเตอรี่ได้
  2. ให้รถที่มีแบตเตอรี่ปกติจอดหันหน้าเข้าหารถยนต์ของเราให้ใกล้ที่สุด แล้วดับเครื่อง
  3. ห้ามเปิดระบบไฟหรือสตาร์ทเครื่องยนต์ทั้ง 2 คันพร้อมกันเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดประกายไฟและเสี่ยงต่อการระเบิด รวมถึงห้ามสูบบุหรี่ จุดไฟแช็ก หรือก่อประกายไฟทุกชนิดในระหว่างที่กำลังพ่วงแบตเตอรี่
  4. ให้หนีบสายพ่วงแบตสีแดง (ขั้วบวก) ต่อเข้ากับแบตขั้วบวกของรถคันที่สตาร์ทไม่ติดก่อน จากนั้นจึงนำอีกฟากไปหนีบที่แบตขั้วบวกของรถที่มาช่วย
  5. หนีบสายพ่วงแบตสีดำ (ขั้วลบ) ต่อเข้ากับแบตขั้วลบของรถคันที่มาช่วย และนำอีกฟากไปหนีบที่ตัวถังรถของคันที่รถสตาร์ทไม่ติด โดยไม่จำเป็นต้องต่อเข้าขั้วแบตโดยตรง เพราะตัวถังก็เป็นสื่อนำไฟฟ้าที่สามารถส่งตรงถึงตัวแบตเตอรี่ได้เช่นกัน
  6. เมื่อต่อสายพ่วงแบตครบแล้ว ให้เริ่มสตาร์ทรถคันที่มาช่วยเหลือทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที แล้วเร่งเครื่องยนต์บ้างเล็กน้อย เพื่อให้แบตเตอรี่มีการไหลเวียนของประจุไฟฟ้า
  7. ลองสตาร์ทรถคันที่แบตหมดว่าสามารถใช้งานได้หรือไม่ หากสตาร์ทได้แล้ว ให้ถอดสายพ่วงจากรถคันที่มีปัญหาก่อน ตามด้วยรถคันที่มาช่วย
  8. สตาร์ทรถทิ้งไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมงหรือขับรถตามปกติ แต่อย่าเพิ่งใช้อุปกรณ์ในรถที่ใช้ไฟมาก เช่น เปิดแอร์ เปิดวิทยุ เป็นต้น หรือจะนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อเช็กสภาพแบตเตอรี่


วิธีพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์

โทรหาบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน กรณีแบตเตอรี่รถยนต์หมด

นี่คืออีกวิธีหนึ่ง เมื่อไม่มีรถผ่านมาช่วยเหลือ หรือไม่มีสายพ่วงแบต คุณอาจโทรขอความช่วยเหลือกับบริษัทประกันที่มีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน หรือโทรถึงหมายเลขฉุกเฉินอื่นๆ ดังนี้

- 1677 สายด่วนร่วมด้วยช่วยกัน

- 1137 จส. 100

- 1193 ตํารวจทางหลวง

นอกจากนี้ เมื่อใช้รถไปนานพอสมควร ควรนำรถเข้าตรวจสภาพที่ศูนย์บริการเพื่อดูการทำงานของส่วนประกอบอื่นๆ ควบคู่ไปกับการตรวจสอบแบตเตอรี่เป็นระยะๆ อย่างน้อยที่สุดควรตรวจสอบรถยนต์ก่อนออกเดินทางไกลทุกครั้ง เพื่อความมั่นใจในการขับขี่

อ่านเพิ่มเติม