รถต้นแบบความปลอดภัย 60ปีก่อน หน้าตาเป็นอย่างไร

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปี 1950-1960 ระบบความปลอดภัยในรถยนต์ไม่ใช่อะไรที่ใครจะมานั่งคำนึงถึงกัน เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะว่าในช่วงนั้นผู้ผลิตรถยนต์และผู้ซื้อรถยนต์ยังคงตื่นเต้นกับสินค้าที่มนุษย์บนโลกเพิ่งจะรู้จักได้ไม่นาน โดยเฉพาะผู้ผลิต ในเมื่อผลิตสิ่งใหม่บนโลกนี้ได้ แถมผลิตเท่าไรก็มีคนที่พร้อมจะซื้อ จึงขนทุกสิ่งที่จะทำให้ขายได้ออกมา และส่วนใหญ่ก็คือเรื่องความสวยงามและการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าของรถยนต์และเนื่องจากสมัยนั้นรถยนต์ยังมีไม่เยอะเช่นทุกวันนี้ การคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยจึงยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงดังเช่นปัจจุบันที่ต่อให้นั่งอยู่หน้าบ้านเฉยๆก็อาจจะเจอเสยได้

รถต้นแบบความปลอดภัย 60ปีก่อน หน้าตาเป็นอย่างไร

ดังนั้นสมัยนั้นรถยนต์ย่อมไม่มีระบบความปลอดภัยดังเช่นรถยนต์ในปัจจุบันนี้ ถ้าจะให้เห็นภาพก็คือไม่มีแม้กระทั่งเข็มขัดนิรภัย กระจกนิรภัย หรือแม้กระทั่งถุงลมนิรภัยด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่าหากขับรถด้วยความเร็วสูงแล้วเกิดอุบัติเหตุ โอกาสรอดจากอุบัติเหตุจะต่ำมาก เพราะว่าคนขับหรือแม้แต่ผู้โดยสารเองจะกระเด็นออกมาจากตัวรถทะลุทุกกระจกที่จะออกมาได้

การจะสร้างความปลอดภัยให้รถยนต์ในสมัยนั้น เกิดการจุดประกายขึ้นจากตัวแทนจากสถาบันต่างๆ รวม 3 สถาบัน ที่มีหน้าที่แตกต่างกันไปดังนี้คือ

1. Liberty Mutual กลุ่มบริษัทที่มีสายธุรกิจด้านการประกันภัย ก็มีแนวความคิดที่อยากจะลดอุบัติเหตุและการสูญเสียจากอุบัติเหตุให้น้อยลง เพราะอะไร ก็เพราะว่ายิ่งอุบัติเหตุน้อยลง หรือเสียหายน้อยเท่าไร บริษัทก็ยิ่งมีกำไรมากขึ้นเท่านั้น บริษัท Liberty Mutual นี้ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1912 มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกา เรียกว่าหลังจากมีวงการรถยนต์เกิดขึ้นในโลกแล้ว การหันมาทำธุรกิจด้านประกันภัยก็เป็นที่สนใจตามไปด้วย แต่ด้วยความรู้ทางด้านประกันภัยเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้อุบัติเหตุบนท้องถนนลดลงได้ จึงเกิดการร่วมมือกันของคนที่มีความรู้ที่จะสร้างระบบป้องกันอันตราย เสริมความปลอดภัยขึ้นมาและสถานที่ที่เป็นแหล่งรวมความรู้นั้นก็คือ มหาวิทยาลัย

Liberty Mutual กลุ่มบริษัทที่มีธุรกิจสายประกันภัยที่มีประวัติมาอย่างยาวนานในสหรัฐอเมริกา

2. Cornell University เป็นมหาวิทยาลัยหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในนิวยอร์กโดยก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1865 และเป็นแหล่งรวมความรู้มากมายโดยเฉพาะความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ ทั้งทางทฤษฎีและการนำมาประยุกต์ใช้ การมีความรู้ไว้ก่อนก็สามารถที่จะรังสรรค์สิ่งใหม่ๆออกมาได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่ด้วยความรู้เพียงอย่างเดียวอาจจะยากเกินไปที่จะทำให้สิ่งใหม่ๆเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยรถยนต์เป็นรูปเป็นร่าง ดังนั้นจึงต้องหาแนวร่วมที่สำคัญที่เชี่ยวชาญด้านการผลิตรถยนต์มาร่วมด้วย

Cornell University มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกา

3. Ford Motor Company ฟอร์ดเป็นบริษัทที่ได้ร่วมมือกับทั้ง Liberty Mutual และ Cornell University เพราะสามารถที่จะนำความรู้และเงินทุนมาใช้ในการสร้างสิ่งใหม่ๆในรถยนต์ให้เป็นจริงได้ โดย Ford Motor Company มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1901 โดยชายที่ชื่อว่า Henry Ford ซึ่งทุกวันนี้บริษัทนี้ก็ผลิตรถยนต์ได้กว่า 6ล้านคัน ด้วยพนักงานกว่า 200,000 คนในโรงงานต่างๆกว่า90แห่งทั่วโลก

การร่วมมือของ 3 สถาบันนี้ทำให้ได้รถยนต์ต้นแบบที่ไม่ได้นำมาวิ่งจริงแต่ประกอบด้วยระบบความปลอดภัยที่ต่อๆมาก็มีบางระบบที่ถูกต่อยอดและทำให้เป็นจริงได้ในปัจจุบัน รถยนต์ต้นแบบคันนี้ถูกให้ชื่อว่า 1957 Cornell-Liberty Safety Car ไม่มีการวางเครื่องยนต์ใดๆเพราะว่าไม่ได้คาดหวังให้วิ่งจริงบนถนนแต่เป็นการนำเสนอถึงต้นแบบของฟังก์ชั่นต่างๆเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยที่ถูกคิดค้นขึ้นมีดังนี้

ไม่ใช้พวงมาลัย

ในตอนนั้นมีการเชื่อกันว่าพวงมาลัยรถยนต์เป็นสาเหตุหนึ่งของอันตรายต่อผู้ขับเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ทางทีมของCornell-Libertyจึงออกแบบรถโดยเปลี่ยนพวงมาลัยให้กลายเป็นคันบังคับแทน (ดังรูป) และมีหน้าที่ในการบังคับ2ล้อหน้าเช่นกัน โดยใช้หลักการของระบบไฮดรอลิก คนขับจะนั่งอยู่ตรงกลางรถยนต์ คือทำเบาะนั่งไว้ตรงกลางรถยนต์เลยไม่ใช่ซ้ายหรือขวาแบบในปัจจุบัน

ใช้คันบังคับแทนพวงมาลัยกลม

ดูเพิ่มเติม
>> ระบบความปลอดภัยพื้นฐาน ที่รถยนต์ในปัจจุบันควรมี!
>> IIHS เผยระบบแจ้งเตือนรถออกนอกเลน ออฟชั่นล้ำ ที่ช่วยลดอุบัติเหตุได้ดีเกินคาด

กันชน

รอบคันของรถยนต์มีการติดตั้งกันชนที่ดูแข็งแรงและเด่นชัด ซึ่งทาง Cornell-Liberty ต้องการให้เป็นตัวป้องกันหลักเมื่อเกิดการชน นับจากวันนั้นก็มีการพัฒนาให้สวยงามขึ้นอย่างเช่นในทุกวันนี้ ปัจจุบันส่วนที่เป็นกันชนหน้าและหลังแทบจะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ไปแล้ว เพราะนอกจากช่วยป้องกันและลดแรงจากการชนแล้วยังเป็นสิ่งประดับที่สวยงามอีกด้วย เพราะนักออกแบบรถยนต์ก็ต้องการความสวยงาม สวยงามจนกระทั่งด้านข้างก็ไม่มีกันชนแล้ว

กันชนสีเงินวาวที่ลดแรงกระแทกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

ประตูไสลด์พับ

แนวคิดของการพัฒนาประตูแบบนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บเมื่อเกิดอุบัติเหตุ เวลาเกิดการชนหรืออุบัติเหตุจะหลีกเลี่ยงปัญหาที่ว่า ประตูเปิดไม่ออก หรือประตูกระเด็นหายไปจากตัวรถ แต่พวกเราเองพอเห็นแล้วคิดๆดูอีกทีก็ไม่น่าช่วยเท่าไร ก็แน่นอนถ้าช่วยป่านนี้เราคงมีประตูแบบนี้ใช้กันแล้ว

ประตูพับได้ ที่เชื่อว่าจะลดการเปิดไม่ออกเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

เข็มขัดนิรภัย

สมัยยุค 1950 มีรถน้อยมากๆที่จะมีเข็มขัดนิรภัย และรถคันนี้ก็สร้างเข็มขัดนิรภัยมาสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ส่วนคนขับอาจจะลำบากหน่อยจากที่เห็น เพราะมันจะเป็นอุปกรณ์ที่ต่อมาจากคันบังคับอีกทีแล้วครอบเข้ามายังเบาะนั่ง ทำให้มั่นใจได้ว่าถ้ารถเกิดอุบัติเหตุผู้ขับไม่กระเด็นออกนอกตัวรถแน่นอน แต่ก็คงต้องถามคนนั่งด้วยว่าลำบากไหม อึดอัดไหม เพราะไม่ใช่รถไฟเหาะที่เล่นกันประเดี๋ยวประด๋าว แต่ต้องขับกันเป็นชั่วโมงๆ

ยิ่งกว่าเข็มขัดนิรภัยก็คือทำเป็นวัตถุครอบตัวผู้ขับไปเลย

สวิทช์ที่เรียบง่าย

ทุกปุ่มทุกสวิทช์ควบคุมที่อยู่ภายในรถยนต์จะถูกออกแบบและทำให้มีความโค้งมน ไร้เหลี่ยมมุม เพื่อลดการบาดเจ็บเมื่อเกิดอุบัติเหตุ และพยายามออกแบบจุดอื่นๆในรถยนต์ให้ไกลจากตัวและศีรษะของผู้ขับขี่มากที่สุด จะได้มีที่ว่าง่มากก่อนที่ตัวถังรอบข้างจะยุบเข้ามาถึงผู้ขับเมื่อเกิดการชน ซึ่งในทุกวันนี้ดูจะเป็นเรื่องพื้นฐานไปแล้วในการออกแบบ แต่ก็เพราะมีสิ่งนี้เมื่อ60ปีก่อน มันจึงกลายเป็นพื้นฐานเฉกเช่นปัจจุบัน

สวิทช์ที่พยายามออกบอกให้คมน้อยที่สุด

การออกแบบที่นั่งด้านหลัง

ที่นั่งด้านหลังจะแบ่งเป็นสามที่นั่งแยกกันแต่ละบุคคล โดยจะมีอยู่ที่หนึ่งตรงกลางที่หันหลังให้กับคนขับ และหันหน้ามาเผชิญกับผู้โดยสารที่เหลืออีก2คน โดยที่นั่งสำหรับผู้โดยสารด้านหลังบริเวณที่อยู่ตรงกลางนี้เชื่อกันว่าปลอดภัยที่สุดและเหมาะสำหรับสตรีมีครรภ์หรือเด็ก

ที่นั่งด้านหลังเป็นแบบหันหน้าเข้าหากันและนั่งได้สามคน

นี่คือรถยนต์ต้นแบบด้านความปลอดภัยที่เรียกกันว่า Cornell-Liberty Safety Car นับจากวันนั้นมาได้ร่วม 60ปี แล้วที่สถาบันที่ร่วมคิดค้นระบบความปลอดภัยเหล่านี้ได้ช่วยชีวิตคนบนท้องถนนและลดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ระบบที่เป็นต้นแบบและค่ายรถยนต์ต่างๆนำไปเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาระบบความปลอดภัยที่ทำให้เราได้มีใช้ในรถยนต์ทุกวันนี้ จากนี้ไปก้าวสำคัญข้างหน้าก็คือการลดการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์โดยมุ่งเน้นไปที่การปิดกั้นทุกสิ่งที่ทำให้ผู้ขับขาดสมาธิในการขับขี่ เพราะเราเข้าสู่ยุคดิจิตอลที่มีโทรศัพท์สมาร์ทโฟนและอินเตอร์เน็ตเป็นตัวแปรสำคัญ สิ่งนี้เองที่ทำให้ทุกการขับขี่เกิดการไขว้เขวขึ้นมาได้ และปัจจุบันก็จะเป็นต้นแบบของอนาคตต่อไป

ดูเพิ่มเติม
>> 7 เรื่องต้องคิดก่อนซื้อรถ
>> 5 ข้อเตือนใจ ของคนเงินเดือนน้อยที่คิดจะซื้อรถ

ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่  
อ่านรีวิวรายละเอียดเกี่ยวกับรถยนต์  เชิญที่นี่