1. อย่าสตาร์ทเครื่องยนต์ เมื่ออุทกภัยจากไป สิ่งแรกที่หลายๆ คนอยากรู้ คือสภาพของทรัพย์สิน ว่ายังมีสภาพที่ดีหรือไม่ โดยเฉพาะรถยนต์ ซึ่งหลายๆคนมักจะรีบไปสตาร์ทดูว่า ยังใช้งานได้อยู่หรือไม่ ซึ่งจริงๆ แล้ว การสตาร์ทรถทันทีเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำโดยเด็ดขาด โดยสิ่งแรกที่ควรทำนั้นคือ การเปิดฝากระโปรง ดูความเสียหายภายในห้องเครื่องก่อน ว่ามีน้ำอยู่ในชิ้นส่วนใดบ้าง โดยเฉพาะรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์นั้น ยิ่งไม่ควรสตาร์ทรถทันทีเป็นอย่างยิ่ง
2. ลากไปอู่ นี่อาจเป็นข่าวดี และฝันร้ายสำหรับบรรดาช่างเครื่องทั้งหลายที่คงจะต้องมีงานให้ลากยาวถึงปีใหม่กันเลยทีเดียว แต่เมื่อคุณคิดว่าพร้อม ก็จัดการลากไปให้ผู้เชี่ยวชาญดู โดยกำชับว่ารถของคุณถูกน้ำท่วมมา ซึ่งปกติแล้วจะแยกเป็น 2 กรณี คือ
• กรณีแรก ที่น้ำท่วมรถไม่มากนั้น ระบบเครื่องยนต์อาจจะได้รับความเสียหายเล็กน้อย โดยเฉพาะถ้าน้ำท่วมไม่มากจนรถของคุณไม่ดำลงไปทั้งคันนั้น ช่างก็จะไล่ระบบอากาศ โดยเฉพาะตัวกรองอากาศ ซึ่งจะต้องลดความชื้น ตรวจสอบหัวเทียน และกล่องควบคุมการทำงาน ก่อนที่ช่างจะสตาร์ทเครื่อง ซึ่งโดยมากจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 5000 -10,000 บาท
• กรณีที่ 2 กรณีที่รถจมน้ำหายไปทั้งคันนั้น โดยมาก ช่างจะต้องทำงานกันหนักหน่อย และนั่นอาจหมายถึงการผ่าเครื่องยนต์ เพื่อตรวจสอบน้ำที่เข้าสู่เสื้อสูบว่ามีปริมาณมากน้อยเพียงใด หลังจากนั้นจึงทำการไล่น้ำ และความชื้น
3. ถ่ายของเหลวทุกชนิด จำไว้ว่าน้ำมันไม่ถูกกับน้ำ และโดยมากที่เราแนะให้ไปหาผู้เชี่ยวชาญ ก็เพราะเขาจะจัดการถ่ายของเหลวให้หมดรวมถึงน้ำมันเครื่อง
4. จัดการชุดภายใน นี่เป็นเรื่องที่คุณควรทำอย่างยิ่งโดยเฉพาะ
รถเก๋งที่โดยมากมักมาพร้อมพรมปูพื้น การซักพรมและชุดภายในเป็นสิ่งที่สมควรทำอย่างรวดเร็ว และทันที เพื่อลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์
>> ดูเพิ่มเติม:
- วิธีล้างห้องเครื่องแบบง่ายๆและสะอาดชัวร์
- 5 สิ่งของอันตราย เก็บให้ห่างจากตัวรถ