เครื่องยนต์ก็เหมือนกับร่างกายมนุษย์ มีอาการทรุดโทรม มีอาการสึกหรอนั่นก็เป็นเรื่องปกติค่ะ แต่ถ้าหากว่าเรามัวแต่ใช้เขาจนไม่รักษาเขาเลย เราอาจจะเสียเพื่อนรักดีๆ หรือว่าต้องส่งรถยนต์ของเราไปซ่อมเป็นเวลานานก็ได้นะคะ วันนี้เราจะมาบอกเพื่อนๆ เกี่ยวกับเรื่อง 10 อะไหล่รถยนต์ที่เราควรเปลี่ยนมากที่สุดกันค่ะ ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้าง
10 อะไหล่รถยนต์ที่คุณจะต้องเปลี่ยนบ่อยที่สุด !
ปัจจัยสำคัญหลักของรถยนต์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนั้นนอกจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วนั้นก็คงจะเป็น “เครื่องยนต์” ที่ทำให้รถยนต์ของเรามีแรงขับเคลื่อนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เครื่องยนต์ ก็เป็นส่วนหนึ่งในชิ้นส่วนของรถยนต์ที่เราจะต้องดูแลเอาใจใส่ให้มากพอๆ กับส่วนประกอบอื่นๆ ภายนอกนะคะ ถ้าหากว่าเครื่องยนต์เราชำรุดหรือเกิดการเสียหายขึ้นมา เราอาจจะต้องส่งรถยนต์ของเราเข้าศูนย์บริการนานเป็นอาทิตย์หรือไม่ก็อาจจะต้องเสียค่าซ่อมบำรุงที่แพงจนกระเป๋าแทบฉีกก็เป็นได้ .. ดังนั้นวันนี้ทาง Chobrod ก็เลยนำสาระน่ารู้ดีๆ มาบอกเพื่อนๆ เกี่ยวกับ 10 อะไหล่รถยนต์ที่เราควรจะเปลี่ยนบ่อยที่สุด มาฝากกันค่ะ
น้ำมันเครื่อง
น้ำมันเครื่องคือปัจจัยหลักที่เราจะต้องใส่ใจเป็นอย่างแรกเลยค่ะ เพราะหน้าที่ของน้ำมันเครื่องคือการหล่อลื่นชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ ดังนั้นเราจึงควรเปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามกำหนดทุกครั้ง หรือหากพบว่าน้ำมันเครื่องเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ให้เราทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องก่อนกำหนดได้เลยทันทีเพราะนั่นอาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าน้ำมันเครื่องของเราหมดอายุแล้วนั่นเองค่ะ ส่วนระยะเวลาที่เราควรจะเปลี่ยนน้ำมันเครื่องนั้นก็อยู่ที่ ทุกๆ 5,000 - 10,000 กิโลเมตร ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับประเภทของน้ำมันเครื่องนะคะ
ผ้าเบรก
ต่อมาชิ้นส่วนที่เป็นหลักในเรื่องของความปลอดภัยโดยตรงนั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก ผ้าเบรก เราจะรู้ได้อย่างไรว่าผ้าเบรกของเรานั้นใกล้จะหมดแล้ว? วิธีสังเกตง่ายๆ ดังนี้เลยค่ะ หากมีเสียงเอี๊ยดเกิดขึ้นในขณะที่เราเหยียบเบรกนั้น นั่นคือสัญญาณบ่งบอกว่าถึงเวลาที่เราจะต้องเปลี่ยนผ้าเบรกได้แล้วค่ะ ถ้าหากว่าผู้ใช้ดื้อดึงที่จะใช้ต่อไปโดยไม่เปลี่ยนผ้าเบรกนั้น จะส่งผลให้เกิดความเสียหายกับจานเบรกโดยตรง ซึ่งแน่นอนว่าถ้าหากนำไปซ่อมหรือเปลี่ยนแล้วนั้นราคาแพงกว่าผ้าเบรกหลายเท่าตัวเลยล่ะค่ะ ส่วนระยะเวลาในการที่เราจะต้องเปลี่ยนผ้าเบรกนั้นอยู่ที่ระยะเวลาประมาณ 50,000 - 70,000 กิโลเมตร ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้งานที่ไหน แต่ถ้าใช้ในเมืองก็จะมีอายุที่สั้นกว่านะคะ
แบตเตอรี่
ดูเพิ่มเติม
>> เสียงบ่นหลังพวงมาลัย รวมปัญหา Toyota ที่คุณต้องรู้!!!
>> 10 รถยนต์มือสองน่าเล่น ราคาไม่เกิน 200,000 บาท มีรุ่นไหนบ้าง? มาดูกัน!
แบตเตอรี่มีทั้งแบบแห้งและแบบเปียก ซึ่งแบบแรกนั้นก็จะไม่มีความยุ่งยากในการดูแลใดๆ แต่ถ้าเป็นแบบเปียกนั้นเราจะต้องมีการเติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับอยู่ตลอดและรักษาให้ระดับอยู่เสมือเพื่อให้แบตเตอรี่เก็บประจุไฟไว้ได้อย่างเต็มที่ ส่วนระยะเวลาประมาณเปลี่ยนแบตเตอรี่นั้นก็อยู่ที่ราวๆ 2-3 ปี แล้วแต่การใช้งานของผู้ใช้ค่ะ หากใครที่ใช้แบบเปียกก็อย่าควรเช็คน้ำกลั่นอย่างน้อยเดือนละครั้งนะคะ
ไส้กรองอากาศ
ไส้กรองอากาศก็ทำหน้าที่เหมือนจมูกเอาไว้หายใจของมนุษย์ เพราะว่าไส้กรองอากาศนั้นเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญในการกรองสิ่งสกปรกในอากาศก่อนเข้าไปยังเครื่องยนต์ ซึ่งหากว่ามีสิ่งสกปรกอุดตันเป็นจำนวนมากก็จะทำให้การเผาไหม้นั้นไม่สมบูรณ์และทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์นั้นลดลงไปกว่าเดิมด้วยค่ะ ระยะเวลาในการเปลี่ยนไส้กรองอากาศนั้นอยู่ที่ระยะเวลา 1 ปี หรือ 20,000 กิโลเมตร และควรจะเป่าทำความสะอาดทุกๆ 3,000 – 5,000 กิโลเมตร
น้ำมันเกียร์
ระบบเกียร์นั้นมีชิ้นส่วนประกอบที่เป็นโลหะเข้าด้วยกันจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเกียร์อัตโนมัติแบบทั่วไป แบบ CVT หรือแบบ Dual-clutch ซึ่งระบบเกียร์นั้นจะมีการเคลื่อนที่ภายในตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงมีอัตราในการสึกหรอค่อนข้างสูงค่ะ และน้ำมันเกียร์ก็เป็นสิ่งสำคัญในการลดการสึกหรอดังกล่าว ไม่ให้ระบบเกียร์นั้นเสียก่อนเวลาอันควร หากเราดื้อดึงไม่ยอมเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามกำหนด นานๆ เข้าอาจจะทำให้เกิดเศษโลหะในน้ำมันเกียร์และนั่นจะส่งผลที่เป็นอันตรายต่อระบบเกียร์ได้ค่ะ ระยะเวลาในการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์นั้นอยู่ที่ประมาณ 20,000 - 40,000 กิโลเมตรแล้วแต่รุ่นรถค่ะ
ไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิง
ชิ้นส่วนนี้จะสามารถพบได้ทั้งรถที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินและเครื่องยนต์ดีเซลค่ะ โดนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นมีหน้าที่ดักจับสิ่งสกปรกต่างๆ และน้ำที่มาพร้อมกับน้ำมันที่เราเติมตามปั๊มทั่วไป หากว่าไส้กรองของเราตันและปล่อยทิ้งไว้นานเกินไปจนแรงดันน้ำมันไปยังเครื่องยนต์ไม่พอ จะส่งผลให้เครื่องยนต์มีอาการเร่งไม่ขึ้น กระตุก และเป็นสาเหตุทำให้รถยนต์ของเราสตาร์ทยากขึ้นนั่นเองค่ะ ระยะเวลาในการเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเชื้อเพลงนั้นอยู่ที่ระยะเวลา 40,000 กิโลเมตรแล้วแต่รุ่นรถนะคะ หรือ ราวๆ 2 ปี ต้องหมั่นตรวจเช็คกันก่อนจะเปลี่ยนนะคะ
ไฟต่างๆ ของรถยนต์
ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า ไฟเลี้ยวต่างๆ เราก็ควรจะเช็คให้แน่ใจว่าติดครบทุกดวงหรือไม่ และหากใครที่ใช้หลอดไส้แบบฮาโลเจนนั้นจะมีโอกาสที่ขาดได้ง่ายกว่าแบบหลอดไฟ Xenon และ LED มากกว่า โดยเฉพาะใครที่ต้องเดินทางผ่านทางขรุขระบ่อยๆ นั้นก็สามารถทำให้หลอดไฟขาดได้ง่ายเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจะต้องเช็คอย่างสม่ำเสมอค่ะ ส่วนระยะเวลาเปลี่ยนนั้นสามารถเปลี่ยนได้ทันทีตอนหลอดไฟขาด
สายพานไทม์มิ่ง
ปกติแล้วเครื่องยนต์ทั่วไปนั้นมีสายพานจำนวนหลายเส้นช่วยขับเคลื่อนเครื่องยนต์ให้สมบูรณ์มากขึ้น เช่น สายพานไทม์มิ่ง สายพานคอมแอร์ สายพานปั๊มน้ำ และอื่นๆ อีกมากมายแล้วแต่รุ่นรถ ถ้าหากสายพานไทม์มิ่งที่เป็นสายหลักของเครื่องยนต์ขาดไปนั้นจะส่งผลต่อเครื่องยนต์อย่างรุนแรงเลยล่ะค่ะ ส่วนระยะเวลาเปลี่ยนสายพานไทม์มิ่งนั้นก็อยู่ที่ประมาณ 100,000 กิโลเมตร
หัวเทียนรถยนต์
หัวเทียนนั้นส่งผลต่อสมรรถนะของเครื่องยนต์เป็นอย่างมากเลยนะคะ หากว่าหัวเทียนเก่าจนเกินไปนั้นจะทำให้เครื่องยนต์สะดุดทำงานไม่ได้เต็มที่ อีกทั้งหัวเทียนก็มีทั้งแบบปกติ ราคาไม่แพง สามารถซื้อหามาเปลี่ยนได้ง่าย ดังนั้นก็อย่าลืมเช็คดูหัวเทียนกันด้วยนะคะ ส่วนระยะเวลาในการเปลี่ยนหัวเทียนนั้นก็อยู่ที่ประมาณ 40,000 กิโลเมตร
ใบปัดน้ำฝน
ยิ่งอากาศร้อนๆ อบอ้าวของเมืองไทย ยิ่งส่งผลให้อายุการใช้งานของใบปัดน้ำฝนนั้นเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ดังนั้นหากใบพัดของเราไม่สามารถรีดน้ำได้เหมือนปกติ เราต้องเปลี่ยนทันทีเลยนะคะโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าฝน ใบปัดน้ำฝนของเราจะทำงานหนักเพราะฉะนั้นเราจะต้องเช็คให้แน่ใจก่อนทุกครั้งค่ะ ระยะเวลาในการเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนนั้นก็อยู่ที่เวลาประมาณ 1 ปี
เป็นอย่างไรกันบ้างคะเพื่อนๆ กับ 10 อะไหล่ที่เราจะต้องเปลี่ยนกันอยู่บ่อยๆ บางคนอาจจะไม่ได้ใส่ใจเจ้าสิ่งของพวกนี้มากสักเท่าไหร่ แต่อยากให้รู้ไว้เลยว่ามันสำคัญมากๆ สำหรับเครื่องยนต์ของเรา เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็นำเรื่องราวดีๆ เหล่านี้มาบอกเพื่อนๆ ให้รู้กันแล้วนะคะ สำหรับวันนี้พวกเราทาง Chobrod ต้องขอจบคอนเทนต์ไปแต่เพียงเท่านี้ พบกันใหม่คอนเทนต์หน้านะคะ สวัสดีค่ะ
ดูเพิ่มเติม
>> วิธีง่าย ๆ กับการดูแลรักษาแอร์รถในหน้าร้อน
>> 5 รถตู้สำหรับท่องเที่ยววันหยุดหน้าร้อนในราคาประหยัด
ติดตามข่าวสารรถยนต์ เชิญที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสองสภาพดี เชิญเข้าดูที่ตลาดรถตรงนี้