แบตเตอรี่รถยนต์ รู้ไว้ใช่ว่า...

ประสบการณ์ใช้รถ | 14 ธ.ค 2560
แชร์ 1

หลายคนคงคุ้นเคยกับแบตเตอรี่ และก็คงรู้ว่าแบตเตอรี่รถยนต์ทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าให้อุปกรณ์ต่างๆของเครื่องยนต์เพื่อให้ทำงานได้ เช่น มอเตอร์ ระบบในขณะที่สตาร์ทรถยนต์ นรวมถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆด้วย เช่น ระบบไฟส่องสว่างหน้ารถ ท้ายรถ วิทยุ เป็นต้น

แบตเตอรี่รถยนต์

แบตเตอรี่รถยนต์ไม่ใช่แหล่งผลิตกระแสไฟฟ้า แต่เป็นแหล่งไฟฟ้าสำรอง หมายความว่า เมื่อใดก็ตามที่ไดร์ชาร์จหรืออุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้า ผลิตกระแสไฟฟ้าไม่ทัน เช่น การขับขี่ในตอนกลางคืนที่ต้องใช้ระบบไฟเยอะกว่าปกติ ก็จะดึงไฟจากแบตเตอรี่มาใช้ และในขณะเดียวกันถ้าไดร์ชาร์จทำงานดีขึ้น ก็จะเก็บกระแสไฟฟ้าที่เหลือจากการใช้งานเข้าไปยังแบตเตอรี่  แบตเตอรี่จะถูกจ่ายไฟออกอย่างเดียวคือตอนสตาร์ทเครื่องยนต์เท่านั้น เมื่อเครื่องยนต์ทำงานแล้ว ไดร์ชาร์จก็จะทำหน้าที่ประจุไฟเข้าแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง หมุนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ 

 

แบตเตอรี่เป็นที่สำรองไฟ
แบตเตอรี่เป็นที่สำรองไฟ

 

 

ถ้าหากแบตเตอรี่หมดมีเพียง 2 กรณี คือ เก็บไฟไม่อยู่หรือหมดอายุการใช้งาน และไดร์ชาร์จทำงานผิดปกติ ทำให้ประจุไฟเข้าไปยังแบตเตอรี่ได้น้อยมากไม่เพียงพอต่อการใช้งานหรือไม่สามารถประจุไฟเข้าไปได้เลย 

 

แบตเตอรี่รถยนต์มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ

1. แบบเปียก นิยมใช้กันเป็นส่วนใหญ่ แบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบที่ต้องเติมและเติมน้ำกลั่น ซึ่งต้องดูแลบ่อยๆสัปดาห์ละครั้ง กับ แบบไม่ต้องดูแลบ่อย ซึ่งจะกินน้ำกลั่นน้อยมาก โดยจะมีฝาปิด-เปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น และมีอายุการใช้งานประมาณ 1.5-2 ปี แต่ไม่ควรเกิน 3 ปี  

 

2. แบบแห้ง คือไม่ต้องเติมน้ำกลั่น มีความทนทาน มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่า อายุการใช้งานโดยประมาณ 5-10 ปี แต่ก็มีราคาแพง แบตเตอรี่แบบนี้ไม่มีฝาปิด-เปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น หรือไม่ก็ถูกซีลทับฝาไปเลย แต่จะมีตาแมวไว้สำหรับไว้คอยตรวจเช็คระดับน้ำกรดและระดับไฟชาร์จ

 

ควรหมั่นตรวจสอบแบตเตอรี่อยู่เสมอ
ควรหมั่นตรวจสอบแบตเตอรี่อยู่เสมอ

 

การเปลี่ยนแบตเตอรี่

ถ้าหากว่าไม่ได้มีการติดตั้งอุปกรณ์ เช่น ระบบเครื่องเสียงต่างๆ หรือ อุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกต่างๆ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่มีขนาดของแอมป์สูงขึ้น เพราะผู้ผลิตรถยนต์ได้มีการคำนวณ และ เลือกขนาดของแบตเตอรี่ให้เหมาะสมกับการใช้งานของรถรุ่นนั้นๆอยู่แล้ว แต่ถ้าติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวเพิ่มเติมขึ้นก็สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่มีขนาดของแอมป์สูงขึ้นได้โดยต้องคำนึงถึงฐานของแบตเตอรี่เดิมติดรถสามารถรองรับได้หรือไม่ 

 

การชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ 

การชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ ควรเลือกใช้การชาร์จอย่างช้าเอาไว้ และทิ้งไว้ซักประมาณ 5-10 ชั่วโมง โดยเฉพาะในการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ เพื่อยืดอายุของแบตเตอรี่ แต่ตามร้านที่เปลี่ยนแบตเตอรี่โดยทั่วไปมักจะใช้วิธีชาร์จเร็วเพื่อรีบให้บริการลูกค้า อีกทั้งในการทำงานกับแบตเตอรี่ควรระมัดระวัง เนื่องจากในแบตเตอรี่นั้นมีสารเคมีอยู่ภายใน เช่น สารตะกั่ว น้ำกรด เป็นต้น 

 

เมื่อรู้เรื่องแบตเตอรี่แล้ว ก็อย่าลืมนำไปใช้ จะได้ช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ ทั้งยังเป็นการดูแลรักษารถอีกด้วย

 

ดูเพิ่มเติม
>>4 ข้อต้องคิด ก่อนซื้อ แบตเตอรี่รถยนต์
>>7 สัญญาณเตือน เมื่อถึงเวลาเปลี่ยน แบตเตอรี่รถยนต์
>>Fisker จดสิทธิบัตรเทคโนโลยีแบตเตอรี่แบบแข็ง พร้อมเปิดตัวรถไฟฟ้าต้นแบบปี 2023