“เคลือบแก้ว” หรือ "เคลือบแก้วสีรถยนต์" กลายเป็นคำยอดนิยมสำหรับการปกป้องดูแล และรักษาความเงางามของสีรถไปแล้วในช่วง 4-5 ปีหลังที่ผ่านมา สิ่งที่ใครๆ อยากทราบว่า เคลือบแก้วคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร เคลือบแก้วรถยนต์ราคาเท่าไร วันนี้เราจะมาพูดถึง การเคลือบแก้วนี้ การปกป้องของสารเคลือบแก้ว และการเปลี่ยนไปของราคาค่าเคลือบที่แตกต่างจากแต่ก่อน
>> [Infographic] 6 วิธีดูแล “สีรถ” ช่วงหน้าฝน ใส่ใจสักนิดเพื่อความเงางามของรถคุณ
>> ทำความรู้จักกับ “รถบ้าน (MOTOR HOME)”
การเคลือบแก้ว หรือ Glass Coating คือการเคลือบแก้วสีรถยนต์ด้วยน้ำยาเคลือบแข็งที่ถูกพัฒนามาจากสาร Silica ซึ่งมีระดับความแข็งของชั้นเคลือบแตกต่างกันตั้งแต่ระดับ 1H - 9H คุณสมบัติพิเศษของสารคือจะแข็งตัวเมื่อสัมผัสกับอากาศ จนกลายมาเป็นลักษณะของแผ่นฟิล์มบางๆ หุ้มที่ตัวรถเมื่อทำการเคลือบแก้ว ช่วยปกป้องสีรถให้ยังคงใหม่อยู่เสมอ
ความแข็งของสารเคลือบแก้วสูงสุดอยู่ที่ระดับ 9H
สูตรของน้ำยาเคลือบแก้วจากหลายผู้ผลิตก็มากมายหลายสูตร แตกต่างไปจนเรื่องของราคาที่ระดับ 9H คือระดับที่แข็งที่สุดและแพงที่สุด โดยส่วนใหญ่ร้านเคลือบแก้ว ตัวน้ำยาจะมีความแข็งอยู่ที่ระดับประมาณ 7H ในระดับความแข็งของตัวเคลือบแก้วก็เป็นสิ่งหนึ่งที่จะบอกถึงความคงทน ต่อรอยขีดข่วนต่างๆ จากการใช้รถ แข็งมากก็ปกป้องสีรถได้มากกว่า ซึ่งรวมไปถึงคุณภาพของตัวน้ำยาที่ศูนย์บริการเลือกใช้ด้วย
เคลือบแก้ว ราคา 2022 ที่ตอนเช้ามาในไทยใหม่ๆ ราคา เคลือบแก้วค่าเคลือบสูงมากจนถึงขั้น 3-4 หมื่นต่อคัน ไปจนหลักแสนก็มีพอระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน การแข่งขันเริ่มมีมากขึ้นทำให้เคลือบแก้วรถยนต์ ราคา อยู่ที่ราคาประมาณ 2 หมื่นบาทต่อคัน แต่สิ่งที่สำคัญของการเลือกร้านทำเคลือบแก้วนั้น พิจารณาถึงคุณภาพของตัวน้ำยาเคลือบอาจไม่เพียงพอ ฝีมือของร้านที่ทำ การเตรียมพื้นผิวก่อนลงน้ำยาเคลือบและบริการหลังการขายเป็นล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาค่าเคลือบของแต่ละที่แตกต่างกันออกไป
การเตรียมพื้นผิวเป็นขั้นตอนสำคัญในก่อนการลงเคลือบแก้ว
โดยน้ำยาเคลือบแก้วน้ำสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือน้ำยาเคลือบแก้วแท้และแบบผสม
ทำมาจากสาร Silica ซึ่งเป็นสารเคลือบแก้วแท้คุณภาพสูงสามารถปกป้องสีรถของคุณได้ดีกว่าแบบผสม น้ำยาชนิดนี้ให้การปกป้องดีกว่าแบบผสม ติดแน่นทนนานกับตัวสีรถไม่ต้องทำบ่อยการเคลือบแก้วบ่อยๆ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงกว่าด้วยเช่นกัน
ประหยัดกว่าการใช้สารเคลือบแก้วแท้ เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ต้องการเคลือบแก้วแต่ไม่ได้มีงบประมาณสูงมากนัก คุณภาพของการป้องกันรวมไปถึงความคงทนติดรถของตัวสารก็จะน้อยลงด้วยเช่นกัน ทำให้การเคลือบในลักษณะนี้จำเป็นที่จะต้องเคลือบบ่อยกว่าแบบสารเคลือบแก้วแท้
ซึ่งการทำเคลือบแก้วนี้เหมาะกับรถที่ยังไม่มีริ้วรอย ขีดข่วนใดๆ จึงเป็นที่นิยมกันของรถใหม่ป้ายแดง หลังขับออกจากศูนย์รับรถมาแล้วจะนิยมนำรถเข้าไปทำการเคลือบแก้วกันในทันทีก่อนที่รถจะเป็นรอย แต่ก็ใช่ว่ารถที่ใช้งานมาแล้วจะไม่สามารถเคลือบแก้วได้ ถ้าเป็นรถทั่วไปก็จะต้องทำการ ขัดลบรอยขีดข่วนต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนสีรถก่อน เรียกว่าเป็นการเตรียมพื้นผิวให้กลับมาใหม่ให้มากที่สุด อยู่ในสภาพทที่สวยเงางามมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนทำการเคลือบแก้ว
เมื่อสารมีลักษณะเคลือบแข็ง จะปกป้องและป้องกันรอยขีดข่วนต่างๆ ได้ดี เหมือนเป็นชั้นแข็งป้องกันสีรถก่อนหนึ่งชั้น แต่ความหนาของชั้นเคลือบแก้วก็อาจจะทำให้ความเงางามที่ควรจะเปล่งประกายของแล็กเกอร์นั้นลดลงด้วยเช่นกัน
แสงแดดคือศัตรูร้ายของสีรถคุณ เมื่อมีสารเคลือบแก้วที่มีความหนาเป็นชั้นก็จะช่วยป้องกันความเสียหายของสีรถที่เกิดจากแสงแดดได้ ช่วยให้สีไม่เสื่อมสภาพหรือซีดก่อนเวลา ความหมองหม่นของสีที่เกิดจากแดดเลียก็จะไม่เกิดขึ้น
แสงแดดแรงๆ ของเมื่อไทยแต่ไม่ค่อยถูกกับสีรถสวยๆ ของคุณ เหมาะมากสำหรับการเคลือบแก้วเพื่อป้องกันสีรถจากการทำลายของแสงแดด
คราบไคล สิ่งสกปรกต่างๆ จากทั่วไปที่ไม่เคลือบแก้วสามารถเข้าไปฝังในตัวของ
แล็กเกอร์ได้ แต่เมื่อสารเคลือบนี้มาเคลือบที่ชั้นสีการเช็ดฝุ่น คราบสกปรกต่างๆ ก็หลุดออกได้ง่ายกว่า ป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกเข้าฝังในสีรถได้ง่าย
ถ้ารถทั่วไปที่ไม่ได้ทำการเคลือบแก้ว เคลือบแค่เพียงแว็กสำหรับช่วยในความเงางาม หลังจากเคลือบมาใหม่ๆ พอโดนน้ำ น้ำจะวิ่งลงจากสีรถ ไม่เกาะจับเป็นคราบน้ำแต่พอผ่านไปสักวันสองวันความสามารถในการไล่น้ำของแว็กก็จะลดลง ตัวแว็กที่เคลือบมาค่อยๆ หลุดหายไปจนสุดท้ายเมื่อเจอน้ำ ก็จับเป็นคราบหยดน้ำเช่นเคย ซึ่งแตกต่างกับการเคลือบแก้ว เมื่อสารเคลือบไม่ใช่สิ่งที่สามารถชะล้างออกไปได้ง่าย ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการจับตัวของหยดน้ำกับตัวรถ
ความเงางามจากการเคลือบแก้วก็ไม่น้อยกว่าการลงแว็กปกติสักเท่าไร
ถามว่าควรจะต้องทำหรือเปล่าสำหรับรถทุกคัน ถ้ารถใหม่ มีงบประมาณถึงก็น่าทำครับ เพื่อเป็นการปกป้องสภาพสีสวยๆ ของรถคุณให้เหมือนใหม่เหมือนตอนออกมาจากศูนย์ไปนานๆ แต่ถ้าเป็นรถที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว อาจผ่านการใช้งานจนเกิดริ้วรอยจนยากเกินที่จะปรับพื้นผิวให้กลับมาเหมือนรถใหม่ดังเดิม ยังมีริ้วรอย ขนแมวที่เอาไม่ออก เคลือบแก้วไปก็อาจไม่ได้ประโยชน์สูงสุด แค่เป็นเพียงป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยเพิ่มเท่านั้น การหมั่นล้างเคลือบสีรถเป็นประจำก็อาจจะเพียงพอแล้ว
ติดตามข่าวสารรถยนต์ คลิกที่นี่
ต้องการซื้อรถมือสองสภาพดี เชิญเข้าดูที่ตลาดรถตรงนี้