ชื่อเครื่องยนต์ตระกูล EcoBoost ที่หลายคนคงคุ้นเคยกับคำพูดสะกดจิต กรอกหูในทุกครั้งที่ขึ้นชื่อโฆษณารถเก๋งของรถ Ford แต่ถ้าในตระกูลเครื่องยนต์ดีเซล กับคำว่าเครื่องยนต์ EcoBlue ที่ใกล้เคียงกันอาจไม่ใช่แค่เรื่องสำเนียงการออกเสียง แต่เทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกพัฒนาให้กับเครื่องยนต์แบบดีเซลนี้ก็มีดีไม่แพ้กัน และเป็นที่คาดการณ์กันทั่วโลกว่ามันกำลังจะมาอยู่ใน Ford Ranger Raptor 2018 ที่กำลังจะเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ด้วย
เทคโนโลยีของเครื่องยนต์ดีเซล Ford EcoBlue นี้เผยโฉมให้โลกได้รู้จักไปเมื่อปี 2016 กับเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็ก น้ำหนักเบา เพิ่มความสามารถในการใช้เชื้อเพลิง ลดการปล่อยมลพิษ CO2, NOX อิงจากสมรรถนะและเทคโนโลยีของเครื่องยนต์เบนซิน EcoBoost ที่พัฒนาขึ้นโดย Ford เพื่อหวังจะให้เครื่องยนต์ดีเซลตัวนี้ไปอยู่ในพาหนะสำหรับโดยสารและเพื่อการพาณิชย์ในอนาคต โดยมีกำลังตั้งแต่ 98 ถึง 237 แรงม้า ตามลำดับความจุของเครื่องยนต์ โดยเวอร์ชั่นแรกที่เผยออกมาเป็นขนาดเครื่องยนต์อยู่ที่ 2.0L
เครื่องยนต์ EcoBlue เป็นเครื่องที่พัฒนามาเพื่อเป้าหมายสำหรับรถเพื่อการพานิชย์ที่ดีกว่าเดิม
ในประเทศไทย Ford ได้ทำการแนะนำให้รู้จักกับเทคโนโลยีเครื่องยนต์ EcoBoost กับเครื่องยนต์ขนาดเล็ก 1.0L ถูกประจำการอยู่ใน Fiesta ให้กำลังสูงถึง 125 แรงม้า แรงบิด 170Nm เทียบเท่ากับเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร และยังให้ความประหยัดน้ำมันได้มากกว่าถึง 20% นอกจากนี้ยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยอัตราการปล่อยไอเสีย Co2 ลดลงถึง 15% นำมาสู่เครื่องยนต์ EcoBlue เช่นกันที่แรงบิดมีมากกว่าเครื่องยนต์ดีเซลแบบเดิม TDCi ขนาด 2.2L ถึง 20% ที่รอบต่ำ 1,250 รอบต่อนาที อีกทั่งเสียงรบกวนน้อยกว่า 4 เดซิเบล เหมาะกับการนำไปใช้งานในกลุ่มรถโดยสาร ผลจากงานวิศวกรรมการออกแบบเพื่อหวังให้แรงเสียดทานน้อยลง เผาไหม้ได้หมดจดนำไปสู่การปล่อยมลภาวะที่น้อยลง CO2 ลดลงจากเครื่องเดิมอีก 10%
ผ่านความเห็นของ Jim Farley ประธานและซีอีโอของฟอร์ดในยุโรปกล่าวว่า “EcoBoost ของฟอร์ดได้สร้างมาตรฐานใหม่สำหรับเครื่องยนต์เบนซินขนาดเล็กอันทรงประสิทธิภาพ เช่นเดียวกันกับการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อลูกค้า เป็นที่มาของเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่นี้ Ford EcoBlue เครื่องยนต์ใหม่นี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้กว่าร้อยละ 10 ส่วนในด้านระบบขนส่งสาธารณะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสายการผลิตที่ขายดีที่สุดในยุโรป ก็ช่วยลดต้นทุนให้กับลูกค้าของเราได้อีกด้วย"
Jim Farley ประธานและซีอีโอของ Ford ยุโรป
จุดปรับปรุงนำไปสู่ความเป็นเครื่องยนต์ดีเซลเชื้อสายใหม่ ที่ประหยัดกว่า เงียบกว่า และปล่อยมลภาวะน้อยกว่านั้น มาจากหลายองค์ประกอบ ตั้งแต่ปรับให้ท่อรวมไอดีมาเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องยนต์ ออกแบบให้มีทิศทางการไหลเข้าของอากาศต่างกันโดยทางเข้าของลูกสูบ 1 กับ 2 จะหมุนตามเข็มนาฬิกาและลูกสูบ 3 กับ 4 จะหมุนทวนเข็มนาฬิกา โดยมีเป้าหมายให้การผสมระหว่างอากาศกับเชื้อเพลิงที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
และการนำเทอร์โบชาร์จเจอร์เข้ามาช่วยในการทำงานในรอบต่ำ ทำให้เครื่องยนต์เรียกอัตราเร่งได้เร็วยิ่งขึ้น ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานที่ทนต่ออุณหภูมิสูง ระบบหัวฉีดแรงดันสูงถูกพัฒนาใหม่ทั้งหมด ให้ตอบสนองได้เงียบกว่าและการจ่ายเชื้อเพลิงได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการร่วมพัฒนาของทีมงานวิศวกรของ Ford ในสหราชอาณาจักรและเยอรมนี
เครื่องยนต์ EcoBlue นี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป้าหมายสำหรับใช้กับรถอเนกประสงค์ มีขนาดตั้งแต่ 104 แรงม้า, 128 แรงม้าและ 168 แรงม้า ไล่ไปจนถึง 197 แรงม้าซึ่งใน Ford Ranger Raptor จะใช้เครื่องยนต์ตัวใหม่นี้ด้วย ว่าที่กระบะสมรรถนะสูงของจริง! ไม่ใช่แบบ Toyota Revo Rocco, Isuzu V-Cross ที่เอาชุดตกแต่งมาใส่แต่ภายนอกเท่านั้น แต่ Ranger Raptor คือรุ่นอัพเกรดทั้งดีไซน์ ความแรงและช่วงล่าง โดย FORD PERFORMANCE ให้เห็นภาพง่ายๆ ก็ไม่ต่างกับ BMW M Power, Nissan Nismo นั่นเอง
Ford Ranger Raptor กระบะเวอร์ชั่นพิเศษ ทั้งเครื่องยนต์และสมรรถนะ
ความพิเศษตั้งแต่เรื่องของเครื่องยนต์ใน Ranger Raptor ทั้งแฟนๆ ในไทยและทั่วโลกต่างคาดกันว่า Ford จะใช้เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ EcoBlue 2.0L Bi-Turbo ให้กำลัง 150 กิโลวัตต์ (200 แรงม้า) และ 470 นิวตันเมตร (347 ปอนด์ฟุต) ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 Speed ช่วงล่างแบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงค์แบบเดียวกับ Everest
รอดูตัวเป็นๆ แบบเต็มๆ ไม่มีอะไรมาปกปิด ก่อนใครในโลกสำหรับประเทศไทยใน วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2018 Ford Ranger Raptor จะทำการเปิดตัวครั้งแรก world premiere ความเชื่อมั่นที่มากขึ้นของผู้ใช้กระบะ Ranger ที่ยอดขายในไทยแม้จะยังห่างกับระดับหัวอย่าง Toyota และ Isuzu แต่ก็เริ่มชัดเจนขึ้นในตำแหน่งที่สาม ทิ้งห่าง Mitsubishi Triton มากขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้ Ford เริ่มเห็นภาพชัดขึ้นในเรื่องทำการตลาด เมื่อรถเก๋งยอดขายทุลักทุเล ก็มุ่งหน้าไปทางสายรถกระบะน่าจะรุ่งกว่า หน้าตาและราคาจะแตกต่างจาก Wildtrak ตัวท็อปของรุ่นมากน้อยแค่ไหน นอกจากเรื่องเครื่องยนต์ใหม่ที่น่าลอง ช่วงล่างที่พิเศษกว่ากระทั่วไป ต้องรอชม!
ดูเพิ่มเติม