อีกหนึ่งรุ่นที่คงต้องลุ้นกันหนักว่าประเทศสยามเรานี้ จะมีบารมีพอได้ขับอย่างเพื่อนบ้านอินโดนีเซียหรือฟิลิปปินส์ไหมกับ Toyota Rush 2018 รถ 7 เบาะเน้นปริมาณคนนั่งและความกว้างคลาส MiniMPV ที่มากับสไตล์ครอสโอเวอร์ยกสูง ซึ่งเมื่อเห็นก็รู้สึกได้ทันที ว่าถ้าเจ้า Rush คันนี้มาถึงไทยจริงเมื่อไร รุ่นหนึ่งที่จะได้รับอิมแพคเต็มๆ กับการเปรียบเทียบโดยตรงคงหนีไม่พ้น Honda BR-V อย่างแน่นอน
เปรียบเทียบรถ 7 เบาะน่าขับ Toyota Rush กับ Honda BR-V เลือกคันไหนใช่ที่สุด?
วันนี้ Chobrod.com ไม่รีรอขอนำ 2 รุ่นนี้มาเทียบเปรียบให้เห็นกันไปเลยว่า MPV 7 เบาะอารมณ์ยกสูงทั้ง Toyota Rush และ Honda BR-V แต่ละคันมีข้อดีเด่นอะไร ตรงไหนบ้างก่อนพลางๆ เผื่อถ้า Toyota ไทยอารมณ์ดี อยากลองนำ Rush เข้ามาขายจริงๆ เพื่อทดแทน Avanza หรือเพื่อเป็นทางเลือกในตลาดเพื่อไปสู้กับ Honda BR-V คุณที่กำลังมองหารถแนวครอบครัว ไปไหนไปกันกับภายในกว้างๆ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาชั่งใจอีก ไปดูกันเลยว่าทั้งสองรุ่นมีอะไรดี ตรงไหนบ้าง
ครบทุกองค์ประกอบการใช้งานในแบบครอสโอเวอร์แบบกว้างๆ Rush กับ BR-V รุ่นไหนใช่ที่สุด?
1.เปรียบเทียบภายนอก Toyota Rush กับ Honda BR-V
Toyota Rush
แรกเห็นเมื่อครั้งเปิดตัว แค่มุมข้างก็พาให้คิดว่ารุ่นนี้มัน Fortuner ตัวใหม่หรือ? เพราะอารมณ์โดยรวมที่ได้จากการออกแบบรูปทรงมันใช่เลย ไม่จำเป็นอีกแล้วกับรถ 7 เบาะ 7 ที่นั่งจะต้องน่าเบื่อเหมือนรถ Van เสมอไป เพียงแค่ออกแบบใส่อารมณ์ให้ดูเหมือน SUV หรือ Crossover เพิ่มความสูง-หน้ายื่นมาหน่อย ความรู้สึกที่เหมือนกับขับรถตู้ของ MiniMPV ก็หมดไปในเฉียบพลัน กลายมาเป็นความตื่นเต้นกับอารมณ์ใหม่ๆ ใช่แล้ว! ที่ Toyota นำการออแบบนี้มาใช้กับ Rush ส่วนด้านหน้ากับไฟ LED พร้อมไฟ Daytime Running แฝงกับไฟเลี้ยวที่ดีไซน์ตัวโคมพาให้คิดถึง Honda CR-V เจ็นก่อน บวกกับกระจังสีโครเมี่ยมรมดำที่ถ้าเปลี่ยนโลโก้จากสามห่วงเป็นตัว "H" น่าจะทำให้หลายคนเข้าใจผิดกันได้ไม่น้อย พร้อมกับเพิ่มความเป็นครอสโอเวอร์ลงไปด้วยการ์ดใต้กันชน และเมื่อมองที่ด้านข้างก็ดูดีที่รูปทรง สัดส่วนประตู กระจกหน้าต่างพอดิบพอดีดูสปอร์ต โดยเฉพาะกระจกแถวที่สามที่ออกแบบมาให้ชันขึ้น ช่วยทำให้รถหนีจากความเป็นรถ MPV ได้อย่างดี แต่ชิ้นส่วนตกแต่งของ Rush กลับพยายามไม่เน้นความหรูหรามากนัก มาแบบเรียบง่ายพอใช้งานเพราะถ้าทำมาหรูดูดีเกินไป จะกลายเป็นว่าไปตีตลาด PPV ค่ายเดียวกันเองเปล่าๆ มองที่ด้านท้ายกับไฟท้ายแนวนอน LED ต่างกับ Avanza, Innova และ Sienta ที่เป็นแบบแนวตั้ง ช่วยให้ประตูหลังที่ใหญ่ๆ ดูดีขึ้นได้คล้ายกับครอสโอเวอร์อีกหนึ่งจุด ล้อที่ใช้เป็นล้อขนาด 17 นิ้วรัดด้วยยางหนาๆ ขนาด 215/60
Rush ภายนอกดีไซน์ลงตัว เข้าสาย Crossover เต็มขั้น
Honda BR-V
ตรงคอนเซ็ปต์ความเป็นครอสโอเวอร์แบบครบๆ สานต่อความสำเร็จในเรื่องรถ SUV และ Crossover จากรุ่นพี่อย่าง Honda CR-V และ HR-V ที่รุ่นแรกอาจจะมีมาให้ 7 ที่นั่ง แต่ราคาก็สูงเกินไป ส่วนในด้าน HR-V กับพื้นที่อันน้อยนิด แค่นั่ง 5 คนก็รู้สึกแน่นๆ แล้ว Honda จึงเสนอทางเลือกให้อีกหนึ่งรุ่นแบบกว้างๆ 7 ที่นั่งสบายๆ พร้อมกับราคาน่ารักมาอยู่ใน BR-V ที่ด้านหน้ามากับกระจังเด่นเอกลักษณ์ของค่ายแบบโครเมี่ยม ขนาบคู่ด้วยไฟโปรเจคเตอร์แบบฮาโลเจน พร้อมไฟหรี่ LED และไฟตัดหมอกด้านล่างมาให้พร้อม ความหรูจากกระจังแบบโครเมี่ยมส่งต่อมาให้ที่มือจับเปิดประตูโครเมี่ยมที่เมื่อมองด้านข้างของ BR-V จะเห็นลวดลายเส้นสายข้างตัวรถ ที่สัดส่วนของกระจกประตูดูเหมือนจะหนากว่า และลวดลายตัวถังที่ยังดูไม่พริ้วไหวนัก ด้านบนมีราวหลังคามาให้ด้วยเพื่อการใช้งานที่ครบด้าน เอาใจสายครอสโอเวอร์กันสุดๆ เมื่อมองมาที่ด้านหลังจะพบกับไฟท้ายยาวจากฝั่งถึงอีกฝั่งซึ่งช่วยลดมิติความสูงของหลังคาได้เป็นอย่างดี แถมมีการ์ดโครเมี่ยมแปะให้อีกหนึ่งจุดบริเวณเหนือที่ติดแผ่นป้ายทะเบียน โดยรอบคันที่ชายล่างจะถูกตกแต่งด้วยสเกิร์ตสีเงินเมทัลลิกเพิ่มให้รถดูมีลูกเล่นเพิ่มขึ้น และช่วยให้ตัวรถเมื่อมองไกลๆ ไม่ดูลอยสูงมากจนเกินไป ล้อที่ใช้เป็นล้อขนาด 16 นิ้วมาพร้อมกับยางขนาด 195/60
BR-V สวยหมด แต่มิติรถดูแปลกๆ
เทียบมิติของตัวรถภายนอก Toyota Rush กับ Honda BR-V
โดยรวมภายนอกทั้งสองรุ่นก็มีดีที่ต่างกัน Toyota Rush สัดส่วนลงตัวพร้อมดีไซน์เข้าที่ แต่เรื่องชิ้นส่วนวัสดุที่ใช้ตกแต่งภายนอกกลับยังไม่ดีนัก มักจะมากับสีดำด้านคล้ายกับรุ่นตัวโลว์สุด ทั้งที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้ ส่วน BR-V ก็ใช้เรื่องรายละเอียดเข้าสู้ ด้วยชิ้นส่วนที่หรูดูดีกว่า แพงกว่าจากโครเมี่ยมหรือสีเงินเมทัลลิก แต่สัดส่วนที่ดูแหม่งๆ ในเรื่องของความสูงของหลังคาก็มาทำให้รุ่นนี้ตกม้าตายเมื่อมองโดยรวมภายนอก ข้อดีข้อเสียต่างกัน ยกนี้จึงให้เสมอกันไปสำหรับในเรื่องของภายนอก
2.เปรียบเทียบภายใน Toyota Rush กับ Honda BR-V
Toyota Rush
ความคุ้นชินกับอารมณ์การออกแบบภายในของ Toyota น่าจะทำให้คุณแปลกใจกับเรื่องดีไซน์ที่มาใหม่หมด และดูแพงมาขึ้นกับการตกแต่งที่แดชบอร์ด้วยการบุนวมนุ่ม เดินด้ายตะเข็บจริงสีขาว (ไม่หลอกเหมือนของ Vios) ตัดกับการตกแต่งที่ใช้เป็นโทนสีดำ ดีไซน์คอนโซลไม่ดูล้ำมาก กลางๆ เด็กใช้ได้ผู้ใหญ่ใช้ดี ระบบอินโฟเทนเม้นท์ความบันเทิงทำงานผ่านหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว สั่งงานได้ผ่านพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
ภายใน 7 ที่นั่ง กว้างขวางพร้อมทุกรูปแบบการใช้งาน แฝงความหรูนิดๆ ด้วยแดชบอร์ดบุนวม
Honda BR-V
เหลี่ยมสันดำเงาตัดสีเงินเมทัลลิกคือนิยามของภายในโดยรวมใน BR-V ที่ไม่ทิ้งจากรุ่นอื่นๆ ภายในค่ายมากนัก พวงมาลัยยังใช้ตัวเดียวกับรุ่น Honda Jazz โฉม GE อีกทั้งเรื่องของดีไซน์ก็ใกล้เคียงกันไม่น้อย แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีดูล้ำสมัย จากสีดำที่ถูกใช้เป็นโทนหลักในการตกแต่ง แซมด้วยสีเงินเมทัลลิกตัดขอบชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ เช่นช่องแอร์, พวงมาลัย, แป้นเกียร์ เครื่องเสียงเป็นจอสัมผัสเช่นกันขนาด 6.1 นิ้วที่รองรับได้ทั้งทุกการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay หรือ Android รวมไปถึงช่องเสียบเพื่อความบันเทิงทั้งหลายก็จัดมาไว้ให้ครบทั้ง AUX / USB / HDMI และการเชื่อมต่อแบบไร้สายอย่าง Bluetooth โดยในส่วนภายในของ BR-V มีอุปกรณ์อะไรบ้างที่น่าสนใจไปดูกัน
ภายในดูล้ำ หรูหราด้วยเบาะหนัง รายละเอียดดูดี น่าใช้สำหรับ BR-V
เรื่องดีไซน์ของทาง Toyota Rush แม้จะมากับมาดใหม่ของ Toyota แบบไม่หลอกแล้วนะ! ใช้หนังบุหุ้มจริงที่แดชบอร์ด แต่ดีไซน์โดยรวมยังไม่เร้าใจเท่ากับทาง BR-V สักเท่าไร ที่บอกว่าใน Rush วัยรุ่นใช้ได้ผู้ใหญ่ใช้ดี แต่ความรู้สึกที่ได้รับกลับเอนเอียงไปทางผู้ใหญ่ที่ไม่ซีเรียสในเรื่องการตกแต่งภายในมากกว่า ผิดกับ BR-V ที่ยังใส่ใจในรายละเอียดความล้ำ และหรูหราทั้งเรื่องดีไซน์ และอุปกรณ์ที่ให้มา เช่น Apple CarPlay หรือ Android Auto นี่มันยุคดิจิตอลแล้ว ทุกการเชื่อมต่อต้องครบๆ อย่าให้ขาด ซึ่ง BR-V ทำได้ดีเหนือกว่านิดๆ แต่ก็ยังมีจุดที่ด้อยกว่า Toyota Rush อยู่บ้างเช่นในเรื่องจำนวนลำโพง และขนาดหน้าจอที่เล็กกว่า ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ซื้อรถถ้าไม่ชอบสามารถแก้ไขได้ ดังนั้นในยกนี้ผู้ชนะต้องยกให้กับ BR-V เป็นฝ่ายเข้าวิน
3.เปรียบเทียบเครื่องยนต์ Toyota Rush กับ Honda BR-V
Toyota Rush
ขุมกำลังไม่เล็กไม่ใหญ่เป็นเครื่องยนต์เบนซินรหัส 2NR-VE 4 สูบขนาด 1.5L DOHC Dual VVT-i ให้กำลังม้าสูงสุดอยู่ที่ 104 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 136 นิวตัน-เมตรที่ 4,200 รอบต่อนาที แบบขับเคลื่อนล้อหลัง พร้อมจับคู่การทำทางเลือกมีให้ทั้งในแบบเกียร์ธรรมดา 5 Speed หรือเกียร์อัตโนมัติ 4 Speed
เครื่องขับหลังใน Toyota Rush น่าจะทำงานหนักหน่อย เพราะต้องแบกน้ำหนักการทำงานไว้มากกว่า
Honda BR-V
ส่วนใน BR-V ก็มีดีที่เครื่องยนต์รหัสยอดนิยม L15 ซึ่งเป็นรหัสที่ถูกใช้ทั้งใน Honda Jazz และ Honda City จนเป็นที่ยอมรับในเรื่องการใช้งาน เครื่องยนต์รหัส L15Z1 เบนซิน 4 สูบ 16 วาว์ล i-VTEC แบบ SOHC ขนาด 1.5L นี้ให้กำลังม้าสูงสุดอยู่ที่ 117 ตัวที่ 6,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 145 นิวตัน-เมตรที่ 4,800 รอบต่อนาที ผสานการทำงานร่วมกับหัวฉีด PGM-FI ลิ้นปีกผีเสื้อไฟฟ้า Drive-By-Wire ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT
เครื่องยนต์ L15 จาก Honda พิมพ์นิยมเป็นที่ยอมรับจากผู้ใช้
เปรียบเทียบน้ำหนักของ Toyota Rush กับ Honda BR-V
รถเปล่าๆ ดูเหมือนว่า Toyota Rush แบกน้ำหนักไว้มากกว่า BR-V อยู่พอสมควร ไม่เพียงเท่านั้นในเรื่องแรงม้าที่มากกว่าของ BR-V ก็เป็นข้อได้เปรียบสำคัญตอนใช้งานจริง เมื่อยามต้องบรรทุกน้ำหนักที่มากกว่าปกติ เบาะทั้ง 7 ถูกนั่งครบๆ เมื่อมากับอัตราเร่งที่ดีกว่าก็น่าจะมีประโยชน์กว่า ทำให้ในเรื่องเครื่องยนต์ฝ่าย BR-V เข้าวินได้เปรียบ Toyota Rush อีกหนึ่งยก
4.เปรียบเทียบความปลอดภัย Toyota Rush กับ Honda BR-V
Toyota Rush
หลายๆ มาตรฐานความปลอดภัยที่รถยุคนี้ต้องมี! ถูกนำมาไว้อยู่ใน Toyota Rush 2018 ครบถ้วนทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น..
มั่นใจเรื่องความปลอดภัยได้ใน Rush กับถุงลม 6 ใบและคะแนนทดสอบการชน อยู่ในระดับ 4 ดาวเต็ม 5
Honda BR-V
ส่วนทางฝั่งของ BR-V ก็ไม่น้อยหน้าจัดให้ครบๆ เช่นกันในเรื่องของมาตรฐานความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็น
Honda BR-V แม้ถุงลมจะมีแค่คู่หน้า แต่ความปลอดภัยในการทดสอบการชนทำได้สูงระดับ 5 ดาวเลยทีเดียว
เทียบตามข้อในเรื่องของอุปกรณ์ความปลอดภัยของทั้งสองรุ่น แทบจะให้มาเท่าๆ กัน แต่ความโดดเด่นในเรื่องของจำนวนถุงลมที่ Toyota Rush ให้มาเยอะ ถึง 6 จุด! น่าจะเป็นตัวเรียกคะแนนได้ดี ยุคนี้รถใหม่ๆ ที่เปิดตัว ถ้าว่าด้วยเรื่องความปลอดภัย พวกรุ่นที่มากับแค่ถุงลมคู่หน้าอาจ เอ้าท์! ไปซะแล้ว ต้องจัดเต็มให้แน่นห้องโดยสาร ต้องมีม่านถุงลม ถึงจะเรียกว่า “รักกันจริง” ซื้อใจลูกค้าได้มากกว่า Rush ทำเรทคะแนนความปลอดภัยในเรื่องทดสอบการชนจาก ASEAN NCAP สูงที่ระดับ 4 ดาว ส่วนทางด้าน BR-V ไม่ธรรมดาเลยกับเรทเต็ม 5 ดาว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสรุปรวมกับถุงลมที่มากกว่าถึง 6 จุดจึงทำให้ Toyota Rush เข้าวินในยกนี้ได้สำเร็จ
5.สรุปคันไหนดีระหว่าง Toyota Rush กับ Honda BR-V
แม้ Toyota Rush ยังต้องลุ้นอีกสักพักว่าคนไทยจะได้มีโอกาสได้สัมผัสหรือไม่ ความสวยที่ลงตัวคล้าย Fortuner ย่อส่วนในแบบครอสโอเวอร์ 7 ที่นั่ง คาดว่าราคาจะอยู่ราว 7-8 แสนบาทไทย ถ้ามาจริงน่าจะทำให้ตลาดรถ MPV 7 ที่นั่ง เดือด! ขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งจากความสำเร็จของ BR-V ที่ทำได้ในสไตล์รถครอสโอเวอร์ คลุมเครือทั้งในแบบ SUV แต่มีที่นั่งให้สำหรับคนในครอบครัวครบๆ ภายในกว้างขวางแบบ MPV, ยอดขายที่พอไปได้ และยิ่งถ้าเป็นแบรนด์พิมพ์นิยมสามห่วง Toyota ด้วยแล้ว Toyota Rush รุ่นนี้น่าจะไปได้ไม่ยาก อยู่ที่ว่า Toyota ประเทศไทยจะสั่งลุยเมื่อไรดี
ทั้งสไตล์ตัวรถ และการใช้งานที่ใกล้เคียงของทั้งสองรุ่น ถ้า Rush มาขายในไทยจริง รับรองว่าตลาดเดือด! แน่นอน
และเมื่อเทียบทุกมุมมองของทั้งสองรุ่นนี้ Toyota Rush กับ Honda BR-V เรื่องดีไซน์ส่วนตัวต้องแล้วแต่ละคนว่าใครชอบสไตล์ไหน ภายใน BR-V ดูดีกว่าในความรู้สึกของผู้เขียนจากดีไซน์ความล้ำสมัย และวัสดุที่นำมาใช้ เรื่องเครื่องยนต์ก็เช่นกัน BR-V มีม้าที่มากกว่า อยู่ที่ว่าคุณใจร้อนแค่ไหน? กับการใช้รถประเภทนี้ และสุดท้ายเรื่องความปลอดภัย Toyota Rush เหมือนจะมีดีกว่าตรงข้อนี้ ที่ซื้อใจลูกค้าด้วยถุงลมที่มากกว่า น่าจะเป็นหนึ่งในจุดขายสำคัญในตอนนี้ (ก่อนที่ BR-V จะอัพเดทรุ่นครั้งหน้า อาจจะมีถุงลมเท่ากันก็ได้) แต่สำหรับตอนนี้ เรื่องความปลอดภัยต้องยกให้ Rush น่าซื้อกว่า แต่โดยรวมกับทางเลือกในรถแบบ 7 เบาะ 7 ที่นั่งที่เน้นให้อารมณ์ความเป็นครอสโอเวอร์ด้วยแล้วนั้นระหว่าง Toyota Rush กับ Honda BR-V ฝ่ายที่น่าซื้อกว่าต้องยกให้.. Honda BR-V เป็นฝ่ายชนะไป
อีกหนึ่งความคิดเห็นเล็กๆ ที่หวังว่าจะช่วยในคุณเลือกรถสำหรับครอบครัวดีๆ ได้สักคัน สุดท้ายแล้วปัจเจกเหตุรวมต้องเป็นคุณเท่านั้นที่เป็นคนตัดสิน ข้อดีเด่นของทั้งสองรุ่นไม่ต่างกันมาก ใช่ว่าเลือกรุ่นไหนแล้วจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดซะที่ไหน คันไหนโดนใจรุมเร้าให้คุณต้องคิดอยากเป็นเจ้าของตลอด ก็คือรุ่นนั้นแหละ ง่ายๆ
แล้วอย่าลืมบอกกับเรา Chobrod หน่อยว่าระหว่างสองรุ่นนี้ รุ่นไหนที่คุณชอบมากกว่ากัน ใต้คอมเม้นท์ด้านล่างนี้ได้เลย