ถ้าจะพูดถึงเก๋งแบบ Sedan 4 ประตูจากค่าย Toyota คงไม่มีใครไม่รู้จัก “Toyota Altis” กับชื่ออันคุ้นหู ทรงรถที่คุ้นตา และเชื่อว่าหลาย ๆ คนต้องเคยโดยสารได้นั่งรถรุ่นนี้กันมาแล้ว ด้วยความที่ถูกนำมาใช้ทำเป็น “รถแท็กซี่” ตั้งแต่หลาย ๆ เจ็นฯ ก่อนหน้า แต่ทว่าถ้าจะให้เลือกจริง ๆ กับคู่แข่งอันดับ 1 อย่าง Civic หรือรุ่นอื่น ๆ คุณคิดเห็นอย่างไรบ้างกับรถรุ่นนี้
Five FACT : 5 ข้อของ Toyota Altis ที่ “สะกิดใจ” จนไม่ใช่รถ Sedan น่าซื้อที่สุดในคลาส
Chobrod Five FACT ในสัปดาห์นี้ เราจะพาคุณไปดู “จุดสังเกต” เล็ก ๆ ของ Sedan ที่เราเห็นวิ่งมากที่สุดบนท้องถนนเมืองไทยกับ Toyota Altis ว่ามีอะไรบ้าง “สะกิดใจ” ผู้ซื้อจนทำให้ไม่สามารถขายดีแข่งกับ Honda Civic ได้ดีพอ ทั้งที่ชื่อชั้นของยี่ห้อก็ได้เปรียบมากกว่า อะไรนะ ! ที่ ทำให้ Altis ถึงยังไม่ใช่ที่สุดของเก๋ง 4 ประตู Sedan ขนาด C-Segment ราคาเริ่มต้นแตะ ๆ ล้าน เราไปดูกันเลย !
1. ดีไซน์สวย “แต่ไม่สุด”
ถ้ามองในเรื่องดีไซน์ภายนอกของ Toyota Altis ต้องยอมรับว่าทำออกมาได้ดีเมื่อเทียบกับโฉมก่อนหน้า แต่ว่าจะให้เทียบกับคู่แข่งหลักมาแรงอย่าง Honda Civic ใหม่นั้นถือว่ายังทำได้ “ไม่ดีพอ !” เมื่อ Altis ยังไงก็ยังเป็น Altis แม้จะออกโฉมล่าสุดมา แต่ดูเหมือนว่ายังไม่กล้าพอที่จะ “ฉีก” จากความเป็น Altis อยู่เดิมสักเท่าไร เป็นเพียงแค่การเพิ่มความโฉบเฉี่ยวทันสมัยให้มากกว่าเท่านั้น ผิดกับทาง Civic เมื่อมองเทียบในรุ่นปัจจุบันกับโฉมก่อนหน้า FB แล้ว ต้องยอมรับเลยว่าอารมณ์ช่างมันแตกต่างกันคนละโยด นึกว่าออกมาจากรถคนละรุ่น และที่สำคัญมันดันทำออกมาดีถูกใจผู้ซื้อเสียด้วย
ดีไซน์ของ Altis ถือว่าสวยดีใช้ได้ แต่ถ้าต้องเทียบกับคู่แข่งอาจยังเป็นรองอยู่
หรือจะมองเทียบกับอีกรุ่นคู่แข่งในคลาสเดียวกันอย่าง Mazda3 ถ้าจะว่าในเรื่องดีไซน์ก็ถือเป็นข้อที่ Toyota Altis ต้องคิดหนักเหมือนกันถ้าจะเทียบ คงจะมีเพียงโลโก้สามห่วงอย่างเดียวที่พอจะข่มคู่แข่งได้ เพราะเมื่อมองที่เรื่องการออกแบบแล้ว ต้องบอกว่า Toyota Altis สวยนะ.. แต่ยังไม่สวยพอในระดับที่จะทำให้ร้อง Wow ! ได้ก็เท่านั้นเอง
*สนใจตลาดรถ Toyota Altis มือสอง ราคาสวยๆ กดดูที่นี่ได้นะครับ
2. ความไม่ลงตัวที่ภายใน
ถ้าใครเคยได้นั่ง Toyota Altis เบาะหน้าจะรู้สึก “แปลก ๆ” กับคอนโซลหน้าตัวรถซึ่งทำออกมาได้ตั้งชันดีเหลือเกิน ผิดกับรถคันอื่นจะพยายามทำให้เอียงสโลปลงมาหาคนขับ จะติงว่าเรื่องนี้เป็นข้อเสียคงต้องแล้วแต่ความรู้สึกของแต่ละคน แค่มันทำให้รู้สึกผิดธรรมชาติในรถทั่วไป แต่อีกเรื่องที่ดูไม่ลงตัวเอาเสียเลยจริง ๆ ที่ส่วนของภายในห้องโดยสาร คือการจัดวางตำแหน่งของอุปกรณ์ต่าง ๆ บริเวณคอนโซลหน้า ที่ดูเหมือนจะมีอะไรให้ติได้ไม่น้อย
ไล่ตั้งแต่ช่องแอร์ข้าง ซ้าย-ขวา ราวกับว่าตอนออกแบบ ดีไซน์เนอร์คงลืมวางตำแหน่งช่องแอร์ด้านข้างมาไว้ให้ เลยเจาะเป็นช่องแอร์วงกลม ๆ มันซะเลย นี่ยังไม่นับตัวก่อนไมเนอร์เชนจ์ ก่อนช่องแอร์ด้านข้างปรับมาใช้เป็นแบบวงกลมอย่างตอนนี้ Altis ให้มากับช่องแอร์ทรงสามเหลี่ยมที่ดูขัดตากับดีไซน์ของคอนโซลหนักมาก จนไม่อยากเชื่อว่านี่คือผลงานของรถจาก Toyota เลยด้วยซ้ำ
Altis โฉมก่อนไมเนอร์เชนจ์ ช่องแอร์ด้านข้างทำได้ขัดตาอย่างที่สุด
ต่อมากับตรงกลางคอนโซลหน้า แม้ช่องแอร์จะถูกวางไว้อย่างเนียนตาแล้วก็ตาม แต่ทว่ามาเสียตรง “นาฬิกา” ดิจิตอลทรงวิเทจขั้นระหว่างกลางเนี่ยแหละ ที่ดูขัดกับการออกแบบภายในขั้นวิกฤติ เล่นหานาฬิกาแบบเป็นเข็มสวย ๆ มาวางไว้จะยังดูดีเสียกว่า
นาฬิกากับพวงมาลัยคือ 2 จุดที่ควรปรับด่วนสำหรับเวอร์ชั่นต่อไปของ Altis
ดูเพิ่มเติม
>> Toyota Corolla Altis มือสอง น่าโดนหรือถอยดี?
>> โปรโมชั่น และ การผ่อน ของ TOYOTA COROLLA ALTIS ประจำปี 2019 !!
ยังไม่หมดเพียงแค่นั้น เรื่องของดีไซน์พวงมาลัยก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ Altis น่าจะทำได้ดีกว่านี้ แม้จะมากับลูกเล่นแบบมัลติฟังก์ชั่นไว้กดสั่งใช้งานตามชอบใจ แต่ถ้าดีไซน์ของตัวพวงมาลัยทำออกมาได้สวยกว่านี้ ก็น่าจะช่วยทำให้ภายในของห้องโดยสาร Altis คันนี้น่าขับขึ้นกว่าเดิมเป็นกอง ลองไปมองเทียบได้กับคู่แข่งแล้วจะเข้าใจ
3. เบรกมือไฟฟ้าไม่มี
ข้อด้อยอีกจุดหนึ่งของ Toyota Altis โฉมนี้ที่ผ่านการไมเนอร์เชนจ์มาแล้วเรียบร้อย คือการไม่มีมาให้ซึ่งระบบ “เบรกมือไฟฟ้า” ยังเป็นแบบคันโยกธรรมดาให้ต้องออกกำลังแขนกันอยู่ ทั้งที่คู่แข่งอย่าง Honda Civic ให้มาแล้วทันทีที่เปิดตัว ลูกเล่นสำคัญที่รถรุ่นใหม่โดยเฉพาะเก๋ง Sedan ขนาด C-Segment ควรมีให้ก่อนใคร แต่กลับเป็นว่า รถจากค่ายอันดับหนึ่งของไทยยังไม่มีให้มา น่าเสียดาย !
หน้าตาของเบรกมือไฟฟ้าจากรุ่นคู่แข่งของ Altis, Honda Civic กับ Mazda3 ที่มีฟีเจอร์นี้มาให้แล้วทั้งคู่
*สนใจตลาดรถ Honda civic มือสอง ราคาสวยๆ กดดูที่นี่ได้นะครับ
4. ระบบความปลอดภัยยังไม่หวือหวา
ถึงแม้ Toyota Altis จะพยายามเอาดีในเรื่องระบบความปลอดภัยด้วยจำนวนถุงนิรภัยกว่า 7 จุด ถุงลมคู่หน้า, ด้านข้างคู่หน้า, ม่านนิรภัยทั้งสองฝั่ง และถุงลมหัวเข่าคนขับ แต่นั่นกลับดูจะเป็นเรื่องเด่นเพียงเรื่องเดียวในบริบทของความปลอดภัยจาก Altis ยังไม่มีมาให้กับ “ระบบช่วยเตือนช่วยเบรก” พวก Active Safety ที่รถใหม่ยุคนี้พาเหรดกันเริ่มเอามาใช้อย่างแพร่หลาย
เรื่องความปลอดภัย Altis ทำได้ดีที่สุดแค่ถุงลมนิรภัย 7 จุดเท่านั้น
ถ้าลองมองไปที่คู่แข่งหลัก ๆ อย่าง Honda Civic จะมาพร้อมกับระบบ Honda SENSING ส่วนทางฝั่ง Mazda3 ก็มีระบบ i-ACTIVSENSE ส่วนในฝั่ง Toyota ก็มีเช่นกันภายใต้ชื่อ Toyota Safety Sense แต่เสียใจด้วย ! เพราะ Altis โฉมนี้ยังไม่ได้นำระบบความปลอดภัยนี้เข้ามาใช้กับตัวรถ คงต่อรอไปก่อน ซึ่งระบบนี้คงจะมาพร้อมกับโฉมใหม่หมดของ Altis ไปเลยทีเดียว
5. เห็นมากตามท้องถนน ก็ทำให้ความพิเศษน้อยลง
ความภาคภูมิใจในการขับรถสักคันซื้อรถสักรุ่น แต่ละคนน่าจะนำมาช่วยในการตัดสินใจซื้อไม่น้อย ความภูมิใจที่ว่ารถคันที่ซื้อมานั้นมอบ “ความพิเศษ” ให้มากกว่ารุ่นอื่น ๆ และคนที่จะสัมผัสได้ มีเฉพาะคนที่มองเห็นความพิเศษของมันและตัดสินใจซื้อเท่านั้น ไม่ใช่แค่ว่าโบกหรือกดเรียกผ่านแอพฯ ก็ได้นั่งแล้ว อยากรู้ อยากสัมผัส อยากลองนั่งมันไม่ได้เป็นการยากเย็นอะไรเลย
และด้วยความที่ Toyota Altis ได้รับการไว้วางใจ “ถูกเลือก” นำไปใช้ทำเป็นรถแท็กซี่โดยสารของไทย ความพิเศษตรงนี้จึงถูกบั่นทอนหายไป กลายเป็นว่าขับไปไหนก็เจอ “เพื่อนเยอะ” เต็มท้องถนนจนดูเกร่อ เป็นแค่เก๋ง Sedan ธรรมดาหนึ่งคันเท่านั้นที่ใครอยากนั่งก็นั่งได้ ใครเห็นก็เฉย ๆ ไม่ได้มอบรู้สึกพิเศษแก่ผู้ที่พบเห็น ถึงแม้ใครจะอ้างว่า “ฉันซื้อรถรุ่นนี้มาเพื่อใช้งาน ฉันไม่แคร์คนอื่น” ก็เถอะ แต่เรื่องแบบนี้มันมีผลทางใจเหมือนกัน ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว โลกนี้จะมีค่ายรถมากมายแข่งกันผลิตพัฒนากันไปเพื่ออะไรละ จริงไหม ?
เลือกซื้อ Altis จะมีเพื่อนใช้รุ่นเดียวกันอยู่บนท้องถนนอีกเยอะ
ซึ่งในปัจจุบัน (03/2019) Toyota Altis มีเครื่องยนต์ให้เลือกเพียงแค่ขนาดเดียวเท่านั้น เป็นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8L จากที่ก่อนหน้ามีขนาด 1.6L ให้เลือกด้วย แต่ถูกตัดออกไป โดยเครื่องยนต์ที่ใช้เป็นเครื่องยนต์เบนซินรหัส 2ZR-FBE แบบ 4 สูบแถวเรียง ขนาด 1.8L ให้กำลังสูงสุดอยู่ที่ 141 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 177 Nm แบบขับเคลื่อนล้อหน้า ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 Speed แบบ Super CVT-i พร้อมสวิตซ์ปรับใช้ Sport Mode รองรับน้ำมันสูงสุด E85
เครื่องยนต์ปรับมีให้เลือกแค่ไซส์เดียว แบบเบนซิน 1.8L
พร้อมรุ่นย่อยให้เลือกทั้งหมด 5 เกรดให้เลือก ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 874,000 บาท ไปจนสูงสุดอยู่ที่ 1,093,000 บาท และรุ่นย่อยทั้งหมดมีดังต่อไปนี้
และทั้งหมดนี้คือข้อสะกิดใจที่อาจจะ “เล็ก ๆ” สำหรับบางคนที่ชอบรถรุ่นนี้เป็นทุนเดิม หรืออาจจะ “รุนแรง” จนถึงขั้นทำให้มองข้ามไปเลือกซื้อรุ่นอื่นสำหรับใครที่กำลังมองหารถเก๋ง Sedan น่าใช้สักคันอยู่ เอาเป็นว่าลองนำไปใช้พิจารณากันดูหลาย ๆ แง่ คำตอบสุดท้ายสำหรับทุกคนก็จะมาเอง แล้วสัปดาห์หน้า Chobrod Five FACT เราจะนำเรื่องอะไรมาฝากกัน อย่าลืมติดตามได้ที่นี่ที่เดียว Chobrod.com
ดูเพิ่มเติม
>> TOYOTA COROLLA ALTIS ปี 2017 กับ 2018 ปีไหนน่าเล่นกว่ากัน