Five Fact : 5 จุดเปลี่ยนที่ทำให้น่าซื้อของ Mazda CX-3 ไมเนอร์เชนจ์ 2018

Five Fact : 5 จุดเปลี่ยนที่ทำให้น่าซื้อของ Mazda CX-3 ไมเนอร์เชนจ์ 

เปิดตัวแบบสดๆ ร้อนๆ ซึ่งน่าจะดึงดูดสายตาและความน่าสนใจจากผู้ที่กำลังสนใจรถในกลุ่มนี้ได้ไม่น้อยเลย และต้องยอมรับว่าปี 2018 นี้ ถือเป็น “ปีทอง” ของรถในตลาดคลาสครอสโอเวอร์แข่งกันขายแบบดุเดือดเลือดพล่าน ออกมาใหม่หลายรุ่น และแต่ละรุ่นก็สร้างกระแส เสียงฮืฮฮาต่อผู้ซื้อให้ใจสั่นอยากไปจับจองเป็นเจ้าของกันได้เป็นอย่างดี และกับช่วงนี้ที่ต้องยกให้ Mazda CX-3 ไมเนอร์เชนจ์เป็น “พระเอก” อย่างปฎิเสธไม่ได้ กับการมาใหม่ ปรับอุปกรณ์เพิ่มพร้อมหน้าตา บวกอ๊อพชั่นล้ำๆ รวมไปถึงตัวเลขราคาที่เปลี่ยนแปลงในบางรุ่นย่อย มีอะไรบ้างนั้น Chobrod Five Fact จะพาคุณไปดูพร้อมๆ กัน

>> รวบรวมภาพบรรยากาศงานเปิดตัว “New Mazda CX-3” ที่ Emquartier

1. หน้าตาภายนอกเปลี่ยนไป แต่ไม่มาก
กระจังหน้าใหม่ที่ทางค่ายถ้าไม่บอกว่าเปลี่ยนใหม่ ก็แทบจะไม่รู้สึก ด้วยรูปทรงเดิม เพิ่มเติมที่แตกต่างแค่ในตัวกระจังเล็กน้อย อาจไม่ได้ให้ความรู้สึกใหม่เท่าไรนัก แต่ก็ยังต้องถือว่าเป็นความใหม่ที่มากับเวอร์ชั่นไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้ รวมไปถึงส่วนของไฟตัดหมอกที่มีการปรับ ส่วนของตัวกรอบเป็นแบบใหม่เช่นกัน แต่มาภายใต้รูปทรงของกันชนเดิม ที่จะทำให้รู้สึกแตกต่างกับเวอร์ชั่นก่อนหน้าได้หน่อย ก็คงจะเป็นส่วนของคิ้วสีเงินเมทัลลิกรอบคันตกแต่งที่ชายล่าง, เสา B เปลี่ยนมาใช้สีดำเงาในการตกแต่งเพื่อเพิ่มความพรีเมี่ยมให้แตกต่างจากเดิมมากขึ้น, ไฟท้ายภายในโคมดีไซน์ใหม่เป็นแบบ LED Signature รวมไปถึงการมาของดีไซน์ของล้อขนาด 18 นิ้วใหม่ ก็มีการปรับเปลี่ยนลวดลายเพิ่มความแตกต่างให้มากกว่าด้วยเช่นกัน 

ซึ่งเมื่อมองแล้ว อารมณ์ที่ได้รับกับการเปลี่ยนแปลงของภายนอกใน Mazda CX-3 ไมเนอร์เชนจ์นี้ ไม่ค่อยแตกต่างจากเวอร์ชั่นก่อนไมเนอร์สักเท่าไรนัก การคงอยู่ไว้ซึ่งดีไซน์หลัก ทั้งกระจัง, กันชน, ไฟหน้า และมีเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ที่บางจุด แม้ CX-3 เดิมที่รูปลักษณ์ภายนอกนั้นจะสวยอยู่แล้ว แต่ก็ทำให้ผิดหวังเล็กๆ ที่เมื่อขึ้นชื่อว่าการ “ไมเนอร์เชนจ์” แต่ที่ภายนอกกลับไม่ได้มอบความตื่นใจ ให้ความรู้สึกใหม่ So Fresh! สักเท่าไรนัก แต่สำหรับใครที่ชอบโฉมเดิมทรงเดิมเป็นทุนอยู่แล้ว ความเปลี่ยนแปลงนี้ก็คงจะยิ่งทำให้อยากเป็นเจ้าของรถรุ่นนี้มากยิ่งขึ้น 

ภายนอกเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

โดยสีใหม่ที่เพิ่มมามีสองสีได้แก่ สีแดง Soul Red Crystal, สีเทา Machine Grey พร้อมกับสีอื่นๆ ที่มีอยู่ก่อนหน้าดังต่อไปนี้ 

• สีขาว (Ceremic White)
• สีขาว (Snowflake White Pearl)
• สีน้ำตาล (Titanium Flash)
• สีน้ำเงิน (Eternal Blue)
• สีดำ (Jet Black)

ภายนอกเปลี่ยนไปไม่มากนัก และมีเพิ่มสีใหม่เข้ามาสองสีคือสีดำ และสีเทา

>> เม้าท์มอย & คอมเม้นท์ “New Mazda CX-3” ตัวใหม่ล่าสุด

2. ภายในตื่นตากับ “หนังกลับ” 
เร้าใจมากขึ้นกับส่วนของภายในที่ดีไซน์แม้จะไม่ต่างจากเดิมนัก แต่ให้ความรู้สึกแตกต่างได้ด้วยสัมผัสของวัสดุการตกแต่งที่มาจาก “หนังกลับสีเทา” ถูกนำมาตกแต่งที่แผงแดชบอร์ดหน้า และเดินตะเข็บด้ายสีเทา รวมไปถึงดีไซน์ของเบาะที่ให้ความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น แต่ยังไม่ทิ้งซึ่งในเรื่องของความหรูหราที่ใช้เป็นวัสดุหนังสีดำในส่วนของเบาะทรงใหม่ บวกเพิ่มเขามากับที่วางแขนของเบาะคู่หน้าและเบาะหลังกับที่วางแขนกลาง นอกนั้นดีไซน์ยังคงไว้เดิมทั้งหมด โดยการตกแต่งด้วยหนังกลับสีเทานั้นจะมีมาให้ตั้งแต่รุ่นรองท็อป S ไปจนถึงรุ่นท็อปของทั้งแบบเบนซินและดีเซลเท่านั้น

ภายในสปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยการตกแต่งของวัสดุแบบหนังกลับ

ถ้าพูดถึงการตกแต่งด้วยวัสดุหนังกลับของการไมเนอร์เชนจ์ใน CX-3 ครั้งนี้ ถือว่าเป็นการก้าวไปอีกขั้นของรถจากฝั่ง “พี่ยุ่น” ประเทศญี่ปุ่นในตลาดรถ Mass ของไทย เพราะคุณจะสัมผัสการตกแต่งในลักษณะนี้ได้กับรถจากฝั่งยุโรปซะเป็นส่วนใหญ่ อาทิเช่น BMW ในตระกูล M หรือ Mercedes-Benz ในตระกูล AMG แต่ Mazda ก็ได้นำสไตล์การตกแต่งนี้มาให้เหล่าแฟนๆ ได้สัมผัสกันง่ายยิ่งขึ้นแล้ว เริ่มต้นราคาที่เกินล้านมานิดๆ ก็ได้สัมผัสภายในแบบสปอร์ตขั้นสุดกันเลยทีเดียว 

3. เบรกมือไฟฟ้ามาแล้ว!
มาสักทีสำหรับเบรกมือไฟฟ้า เพราะก่อนหน้าใน Mazda CX-3 ยังใช้เป็นเบรกมือแบบคันโยกยุคโบราณคร่ำครึ ทั้งที่คู่แข่งหลายๆ รุ่นที่ราคาและชื่อชั้นพอจะเทียบกันได้อย่าง Toyota C-HR, Honda HR-V ก็ต่างมาพร้อมกับเบรกมือไฟฟ้า “สะกิดนิ้ว” แล้วทั้งสิ้น และถือเป็นหนึ่งจุดอ่อนที่ทำให้ CX-3 ที่แม้จะมากับความล้ำไฮเทคในด้านต่างๆ มากมาย แต่กลับมาตกม้าตายในเรื่องนี้ และการไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้ CX-3 ก็เหมือนได้กำจัดจุดอ่อน ตัดทิ้งจุดด้อยข้อนั้นไปสิ้นแล้ว 

เบรกมือไฟฟ้า ถูกนำมาแทนที่คันโยกเบรกมือที่มีอยู่เดิม ไว้แข่งกับรุ่นอื่นได้ไม่อายใคร

ซึ่งระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB แน่นอนว่าจะมาพร้อมกับระบบ “Auto Brake Hold” ที่จะช่วยให้การขับขี่ในมหานครแห่งความแออัด รถแน่นๆ เคลื่อนได้ทีละนิดสะดวกยิ่งกว่า “ไม่เมื่อยเท้า” ต้องเหยียบเบรกค้างรอรถไหล ค่อยสมราคากับความเป็น City Car ของคนรุ่นใหม่ที่ราคาเริ่มต้นแตะล้านบาทขึ้นมาอีกขั้น 

4. Sunroof ก็มีเพิ่มมาให้ด้วย  
เมื่อคู่แข่งตัวใหญ่อย่าง Honda HR-V ก็มากับหลังคาพาโนรามิคซันรูฟ, MG ZS ก็มีมาให้เช่นกันแถมสั่งเปิดได้ด้วยเสียง ฝั่ง Mazda CX-3 ก็ถึงเวลาสักทีที่อ๊อพชั่นอันอาจไม่ค่อยจะมีประโยชน์สักเท่าไร แต่ “ของมันต้องมี” นี้อย่างหลังคาซันรูฟ จะถูกเพิ่มเข้ามา 

Sunroof อ๊อพชั่นที่ของมันต้องมี และ CX-3 ก็เพิ่มมาให้แล้ว

และต้องบอกว่าจริงๆ แล้วนั้นกับ CX-3 เวอร์ชั่นขายทั่วโลก หลังคาซันรูฟเปิดได้มีมานานแล้ว แต่ด้วยเกรงใจบารมี SUV รุ่นพี่อย่าง Mazda CX-5 ที่รุ่นก่อนหน้านั้นยังไม่มีระบบนี้มา และถ้า CX-3 จะมีซันรูฟตั้งแต่ตอนนั้น ก็อาจดูเกินหน้าเกินตาไปสักหน่อย แต่เมื่อตอนนี้ CX-5 มีซันรูฟมาแล้ว ก็ถึงเวลาที่ CX-3 จะได้เฉิดฉาย วิ่งขับเปิดหลังคา ชิวๆ ได้บ้างแล้วละ 
 
5. ความปลอดภัยมั่นใจได้มากขึ้นกับกล้องแสดงภาพ 360 องศารอบทิศทาง
การขับขี่ที่ปลอดภัย และป้องกันอุบัติเหตุได้มากขึ้น กับระบบกล้องรอบคันที่ถูกเพิ่มเข้ามา ช่วยทำให้ผู้ขับขี่เห็นสภาพแวดล้อมของตัวรถได้ง่ายกว่า ผ่านหน้าจอ Center Display ไม่ว่าซอยจะเล็กจะแคบก็ไม่หวั่น หรือสำหรับใครที่การถอยจอดเข้าซองคือปัญหาระดับชาติ มีระบบนี้เข้ามาช่วยชีวิตก็จะง่ายขึ้น ซึ่งระบบ 360 View Monitor นี้จะแสดงภาพจากหลายๆ มุมดังต่อไปนี้ 

• ภาพจากมุมสูง (กล้องหน้าและหลัง)
• ภาพมุมกว้างจากกล้องด้านหน้า 
• ภาพมุมกว้างจากกล้องด้านข้าง
• ภาพมุมกว้างจากกล้องด้านหลัง

และจากทั้งหมดของระบบ 360 View Monitor จะช่วยให้การขับขี่ทุกสภาพเส้นทาง เป็นเรื่องกล้วยๆ สะดวกขึ้นจากการมองเห็นได้ทุกมุมของตัวรถ 

ระบบ 360 View Monitor ถูกเพิ่มขึ้นมาช่วยให้การขับขี่สะดวก และปลอดภัยยิ่งขึ้น 

ส่วนเรื่องราคาเมื่อมีการปรับไมเนอร์เชนจ์แล้ว จะเห็นว่ารุ่นย่อยที่ราคาเริ่มต้นจะมีการปรับเพิ่มราคาขึ้นมาราว 45,000 บาทจากอุปกรณ์ที่ให้เพิ่มขึ้นมา แต่กับรุ่นท็อปคงราคาไว้เท่าเดิม และรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลปรับลดราคาลงนิดหน่อยที่หลักพัน ดังต่อไปนี้

ราคา Mazda CX-3 ไมเนอร์เชนจ์ (Minorchange) 2018

• 2.0 E 879,000 บาท (ปรับเพิ่มขึ้น 45,000 บาท)
• 2.0 C 955,000 บาท (ปรับเพิ่มขึ้น 45,000 บาท)
• 2.0 S 1,029,000 บาท (ปรับเพิ่มขึ้น 54,000 บาท)
• 2.0 SP 1,083,000 บาท (ราคาเท่าเดิม)
• 1.5 XDL 1,189,000 บาท (ปรับลด 4,000 บาท)

**** ดูเพิ่มเติมราคา cx3 2020 มือสองที่มีขายในประเทศไทย

สีเทาใหม่ที่ถูกเพิ่มขึ้นมาในการไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้ของ CX-3

เมื่อเห็นราคาแล้วอาจจะทำให้ใครที่เพิ่งออกรุ่นนี้มาไม่นาน เซ็งไปตามๆ กัน โดยเฉพาะคนที่ออกรุ่น SP ท็อปในประเภทเครื่องเบนซิน ที่จ่ายราคาเท่ากันแต่อ๊อฟชั่นกลับด้อยกว่าหลายๆ จุดอดได้ซันรูฟ อดได้กล้องมองรอบคัน ตามที่บอกมาก่อนหน้าทั้งหมด แต่สำหรับใครที่ยังเล็งๆ รุ่นนี้ไว้อยู่ และกำลังจะซื้อ นี่คือโอกาสที่คุณจะได้รถครอสโอเวอร์อ๊อฟชั่นแน่น เติมเต็มมาครบแล้วในราคาที่น่าสนใจ ถ้าไม่ติดที่เรื่องของดีไซน์ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักหรือชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้วละก็ Mazda CX-3 ไมเนอร์เชนจ์ถือว่าเป็นอีกรุ่นครอสโอเวอร์น่าซื้อพอสมควร

และนี่คือ 5 จุดความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ Mazda CX-5 น่าซื้อยิ่งขึ้นที่ Chobrod Five Fact นำมาฝากกัน แล้วสำหรับคุณกับคลาสครอสโอเวอร์ CX-3 คันนี้โดนใจแค่ไหน เทียบกับรุ่นอื่นๆ คุณจะเลือกรุ่นนี้หรือไม่ และเพราะอะไร บอกกับเรา Chobrod สักหน่อยที่ใต้คอมเม้นท์ด้านล่างนี้ได้เลย