สื่อญี่ปุ่นแฉโรงงาน “Nissan” ปลอมใบรับรองคุณภาพรถยนต์ถึง 6 แห่งกระทบกับรถที่ผลิต 5 ปีหลังสุด

ตลาดรถยนต์ต่างประเทศ | 6 ต.ค 2560
แชร์ 9

สื่อรายใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นออกมาแฉเอง ว่าโรงงานของทาง Nissan ได้ทำการปลอมแปลงใบรับรองการตรวจสอบคุณภาพ โดยการใช้ชื่อและตราประทับของผู้ตรวจสอบ

ขณะที่ทางหน่วยงานภาครัฐได้ทำการตรวจสอบพบว่าทาง Nissan ใช้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบที่ไม่ผ่านการรับรอง เข้ามาตรวจสภาพรถยนต์ในโรงงานนทั้งหมด 6 แห่ง และจะมีผลกระทบกับรถยนต์ที่ผลิตใช้ช่วงเดือนตุลาคม 2013 ไปจนถึงเดือนกันยายนปี 2017

อย่างไรก็ตามเรื่องทาง Nissan ก็ออกมาเผยว่ากำลังตรวจสอบเรื่องอื้อฉาวดังกล่าวซึ่งต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อยถึง 1 เดือนเพื่อสืบหาความจริงโดยละเอียด

ทางด้านประธานของ Nissan นายฮิโรโตะ ซาอิกาวะ ออกมายอมรับว่ามีเจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่ผู้ตรวจสอบที่มีใบอนุญาตถูกต้องมาทำเรื่องดังกล่าวจริง และถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ของทาง Nissan แต่ยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง โดยส่วนตัวท่านประธานเชื่อว่ามันไม่ใช่เหตุบังเอิญอย่างแน่นอนเพราะไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในการตรวจสอบคุณภาพรถ แต่มีผลกระทบต่อรถยนต์ที่ถูกผลิตย้อนหลังไปถึง 5 ปีตั้งแต่ในช่วงเดือนตุลาคม 2013 จนถึงเดือนกันยายนปีนี้

นายฮิโรโตะ ซาอิกาวะ ออกมายอมรับว่ามีเจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่ผู้ตรวจสอบที่มีใบอนุญาตถูกต้องมาทำเรื่องดังกล่าวจริง
 

นายฮิโรโตะ ซาอิกาวะ ยังกล่าวต่อไปว่าเรื่องราวดังกล่าวนี้จะต้องใช้เวลาเพื่อทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือนและทาง Nissan ต้องทำการเรียกคืนรถยนต์ที่จำหน่ายออกไปในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อกลับมาตรวจสอบคุณภาพ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ต้องสูญเงินกว่า 25,000 ล้านเยนเลยทีเดียว

ขณะเดียวกันรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมของญี่ปุ่นได้ออกมาตำหนิการดำเนินงานของ Nissan และกระตุ้นให้ทาง Nissan ทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นอีก ซึ่งส่งผลต่อความมั่นใจต่อผู้ใช้รถยนต์จาก Nissan

ต้องดูผลการตรวจสอบกันต่อไปว่าจะมีรถรุ่นใดบ้างที่ถูกเรียกคืนเพื่อตรวจสอบคุณภาพใหม่

ต้องดูผลการตรวจสอบกันต่อไปว่าจะมีรถรุ่นใดบ้างที่ถูกเรียกคืนเพื่อตรวจสอบคุณภาพใหม่

ข่าวในด้านเสียหายต้องมีกระทบอย่างแน่นอนต่อทาง Nissan และกลุ่มบริษัท Renault-Nissan ที่ตอนนี้กำลังสร้างชื่อขึ้นมาเป็นกลุ่มรถยนต์ที่ขายดีเป็นอันดับ 1 ของโลกแท้ๆ ต้องมาดูกันต่อไปว่าข่าวนี้จะส่งผลเสียต่อยอดขายและความมั่นใจต่อผู้ใช้รถยนต์ในญี่ปุ่นและทั่วโลกมาน้อยแค่ไหน

ที่มา ::www.newindianexpress.com